Title : Sweet Serenade
Fandom : Daiya no Ace
Pairing : Miyuki Kazuya*Sawamura Eijun
.
.
.
.
ดวงตาสีทองจ้องตรงไปยังพื้นที่ยกขึ้นเป็นเวทีเล็กๆ สำหรับวงดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงแจสที่มีเสียงแซคโซโฟนนุ่มๆ เป็นเครื่องดนตรีเด่น ปลายนิ้วขยับเคาะลงไปตามขอบแก้วเครื่องดื่มในมือเบาๆ ตามทำนองเพลง
.
โต๊ะที่เอย์จุนนั่งอยู่นั้นตั้งอยู่ด้านในสุดของร้าน หากมีมุมที่สามารถมองเห็นวงดนตรีบนเวทีด้านหน้าได้อย่างชัดเจน
.
ท่วงทำนองที่เปลี่ยนจากเพลงหนึ่งไปเป็นอีกเพลงหนึ่งทำให้อย่างลื่นไหลไม่มีขัดหูบ่งบอกถึงความสามารถของนักดนตรีบนเวทีได้เป็นอย่างดี
.
เอย์จุนละสายตาจากการบรรเลงดนตรีสดไปยังแก้วเครื่องดื่มในมือก่อนจะหลุดหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เมื่อพบว่าของเหลวภายในแก้วแทบไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ แถมยังถูกเจือจางจนเสียรสจากน้ำแข็งที่ละลายไปจนเกือบทั้งหมด
.
…เอาเถอะ ยังไงเครื่องดื่มนี่ก็แค่สั่งมาตามมารยาท…
.
เอย์จุนไม่ใช่นักดื่ม และสาเหตุที่ทำให้เขามากลายมาเป็นขาประจำของบาร์เหล้าแห่งนี้ก็ไม่ใช่เพราะเครื่องดื่มมาตั้งแต่ต้น เพราะสิ่งที่ดึงดูดให้เอย์จุนก้าวขาเข้ามาในร้านนี้ทุกๆ เย็นก็คือวงดนตรีแจสที่ถูกจ้างมาบรรเลงเพลงสร้างบรรยากาศให้ภายในบาร์
.
…หรือถ้าจะให้เจาะจง…
.
เอย์จุนตกหลุมรักเสียงแซคโซโฟนของนักดนตรีบนเวทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน
.
(การที่นักดนตรีคนที่ว่าหน้าตาดูดีแบบที่ตรงความชอบของเขาพอดีนั่นเอย์จุนถือว่าเป็นโบนัส)
.
ดวงตาสีทองชำเลืองมองหน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ หลังจากที่เห็นเวลาที่แสดงอยู่
.
เอย์จุนชูมือน้อยๆ ส่งสัญญาณเรียกเก็บเงินให้กับบริกรที่อยู่ใกล้ๆ ริมฝีปากขยับกระซิบถ้อยคำบางอย่าง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากร้านอย่างเงียบๆ หลังจากจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย สองขาขาขึ้นรถยนต์คันหรูที่แล่นมาจอดเทียบถึงหน้าประตูร้าน
.
“มาได้จังหวะพอดีเหมือนเดิมเลยนะคาริบะ”
.
“ผมไม่กล้าให้นายน้อยต้องรอหรอกครับ”
.
เอย์จุนขยับยิ้มบางๆ กับคำตอบของคนสนิทที่เป็นเสมือนมือขวาของตัวเอง
.
“นายก็รู้ว่าฉันไม่ถือถ้าจะต้องรอหรอกนะ”
.
“แต่ถ้าคุณท่านรู้หัวผมจะขาดเอาน่ะสิครับ”
.
คำแย้งที่คนฟังเพียงตอบรับด้วยรอยยิ้มเจื่อน
.
“…เตือนฉันให้ขึ้นเงินเดือนให้นายด้วยล่ะ…”
.
.
.
.
.
.
.
“มิยูกิ ลูกค้าบอกว่าชอบเสียงแซคของนายมาก เลยฝากทิปมาให้น่ะ”
.
ธนบัตรเงินสดถูกยื่นมาให้กับหนึ่งในที่กำลังเก็บเครื่องดนตรีประจำตัวอยู่บนเวทีหลังจากร้านปิดทำการ
.
“อีกแล้วเรอะ!? ทำไมนายถึงได้ทิปอยู่คนเดียวเลยวะมิยูกิ! เล่นก็เล่นด้วยกันหมดแท้ๆ”
.
มาเอโซโนะ มือกลองประจำวงบ่นอุบ
.
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายหนุ่มเจ้าของเสียงแซคโซโฟนนุ่มหูได้รับคำชมกับทิปจากลูกค้าที่มานั่งดื่มในร้าน เพราะในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา อีกฝ่ายมักจะได้รับคำชมและสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ฝากผ่านมาทางบริกรของร้านแทบจะทุกวันที่ขึ้นมาเล่นดนตรีบนเวที
.
“คนเดิม?”
.
“อือ”
.
รอยยิ้มบางๆ แต้มขึ้นบนใบหน้าของพนักงานเสิร์ฟประจำร้าน
.
“ฉันว่าลูกค้าคนนั้นคงตั้งใจมาฟังดนตรีมากกว่าจะมาดื่ม เพราะตอนเรียกเก็บเงินทีไรฉันแทบจะไม่เคยเห็นเหล้าในแก้วพร่องลงไปเลย” วาตานาเบะโคลงหัวน้อยๆ “พึ่งเคยเจอลูกค้าที่สั่งเหล้าที่แพงที่สุดของร้านมานั่งถือไว้เฉยๆ ก็คราวนี้ล่ะ”
.
คุราโมจิผิวปากหวือ กระทุ้งศอกใส่คนใส่แว่นที่กำลังเก็บแซคโซโฟนกลับลงกล่องพร้อมกับเอ่ยปากกระเซ้า
.
“แฟนคลับนายคนนี้ดูท่าจะรวยน่าดู ถึงได้สั่งเหล้าราคาแพงระยับนั่นทั้งที่มีอะไรให้เลือกตั้งเยอะในการสั่งตามมารยาทเวลาเข้ามาฟังเพลงในร้านแบบนี้” มือกีต้าร์กระตุกยิ้มบาง “ไหนจะทิปนั่นอีก”
.
“แน่ใจเหรอว่าลูกค้าคนนั้นเป็นแค่แฟนคลับที่ชอบเสียงแซคของมิยูกิน่ะ”
.
คำพูดของมือเบสประจำวงเรียกให้สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่คนพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน
.
“หมายความว่าไงน่ะชิราสุ”
.
“ก็ถ้ารวยขนาดนั้น จะไปหาฟังดนตรีแจสดีๆ ก็ไม่น่าจะยากนี่นา ไม่เห็นจำเป็นต้องมาที่บาร์เหล้าแบบนี้ก็ได้นี่?”
.
“นี่นายจะบอกว่าพวกเราเล่นห่วยงั้นเรอะ!!”
.
คนเล่นดับเบิลเบสส่ายหัว ปฏิเสธข้อกล่าวหาของเพื่อนร่วมวง ในขณะที่คุราโมจิหรี่ตาลงน้อยๆ แบบคนใช้ความคิด หากคนที่พูดขึ้นมาก่อนกลับเป็นโนริฟูมิที่ประจำในตำแหน่งนักเปียโนของวง
.
“นายหมายถึง…ลูกค้าคนนั้นเป็นแฟนคลับมิยูกิในแง่ที่ไม่ใช่ดนตรี?”
.
“…มันก็เป็นไปได้อยู่นะ…”
.
ก่อนที่ข้อสังเกตดังกล่าวจะถูกปัดตกในทันที
.
“ฉันว่าไม่น่าใช่…” บริกรหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงเข้ามาทำความรู้จักกับมิยูกิแล้ว ไม่แค่ฝากฉันมาแค่คำชมกับทิปแบบนี้หรอก คนนั้นน่ะเป็นลูกค้าที่ตั้งใจเข้ามาฟังดนตรีเพราะชอบจริงๆ”
.
“โธ่เว้ย! ทำไมถึงเป็นนายที่มีแฟนคลับอยู่คนเดียวทุกทีนะมิยูกิ! สมัยมหาลัยก็แบบนี้ทีนึงแล้ว!!”
.
“แต่สมัยมหาลัยชิราสุก็เนื้อหอมนะ”
.
“หน้าตา! ต้องเป็นเพราะหน้าตาแน่ๆ!!”
.
“…นี่นายร้องไห้เลยเหรอโซโนะ…”
.
คนใส่แว่นที่ถูกลากไปเป็นหัวข้อสนทนาของเพื่อนๆ ในกลุ่มถอนหายใจเบาๆ
.
“ทำไมพวกนายถึงได้ดูใส่ใจกับเรื่องนี้มากกว่าฉันอีกล่ะเนี่ย”
.
คำเปรยถามที่คุราโมจิเลิกคิ้ว ก่อนจะแค่นหัวเราะพร้อมกับกลอกตาน้อยๆ
.
“นายเองก็อยากรู้เหอะ ไม่งั้นจะถามนาเบะทำไมว่าคนเดิมรึเปล่า”
.
มิยูกิยักไหล่ สะพายกระเป๋าที่บรรจุแซคโซโฟนคู่ใจขึ้นบ่า
.
“ก็แค่อยากบอกขอบคุณสำหรับคำชมกับทิป”
.
“ให้มันจริงเถอะ”
.
คนใส่แว่นขยับยิ้มกว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นบนโบกน้อยๆ แทนคำบอกลา
.
มิยูกิไม่ได้โกหก เขาไม่ได้อยากรู้จักนักว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน ที่ถามนาเบะออกไปก็เพียงแค่เพราะอยากจะขอบคุณสำหรับกำลังใจที่อีกฝ่ายมอบให้ผ่านทางทิปและคำชื่นชมในเสียงแซคโซโฟนของตัวเองเท่านั้น
.
เงินที่ได้รับมานั้นไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็สร้างกำลังใจให้ได้อยู่ไม่น้อย และสิ่งที่ทำให้ยินดียิ่งกว่า ก็คือคำชมที่มักจะมาพร้อมกัน
.
…แต่ถ้าฝ่ายนั้นไม่อยากจะเปิดเผยตัว…สิ่งที่เขาพอจะตอบแทนให้ได้ก็คงเป็นการทุ่มเทเล่นดนตรีอย่างสุดฝีมือเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้กับคนฟังเท่านั้น
.
.
.
.
.
.
.
เอย์จุนกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้านเพื่อหาโต๊ะว่างที่เหลืออยู่ วันนี้เขามาถึงร้านสายกว่าทุกครั้งทำให้โต๊ะที่เคยนั่งเป็นประจำถูกลูกค้าคนอื่นจับจองไปเป็นที่เรียบร้อย
.
ดวงตาสีทองตวัดไปมองตามคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนหัวคิ้วจะมุ่นเข้าหากันน้อยๆ เมื่อพบว่าโต๊ะที่ว่านั้นตั้งอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าสุดติดกับยกพื้นที่เป็นเวทีสำหรับนักดนตรีพอดี
.
เอย์จุนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับ
.
เพราะไม่อยากอยากตกเป็นเป้าสายตาเอย์จุนจึงพยายามเลือกที่นั่งที่ไม่สะดุดตาใครทุกครั้งที่เข้ามาเป็นลูกค้าของร้าน และจากการที่พนักงานไม่ได้แสดงท่าทางอะไรผิดไปจากปกติทำให้เอย์จุนพอวางใจได้ว่าไม่มีใครจำ หรือรู้จักฐานะและตัวตนจริงๆ ของเขา
.
…แค่นั่งด้านหน้าครั้งเดียวคงไม่เป็นอะไรล่ะมั้ง…
.
เอย์จุนเดินตามหลังบริกรไปยังโต๊ะหน้าเวที ก่อนจะเอ่ยปากสั่งเครื่องดื่มที่สั่งประจำกับอีกฝ่ายทันทีที่หย่อนตัวลงนั่งบนเบาะเก้าอี้
.
ความอ่อนล้าที่สะสมมาจากการทำงานทั้งวันที่ผ่านมาทำให้เลือกที่จะหลับตาลงเพื่อให้สามารถซึมซับท่วงทำนองของวงดนตรีที่บรรเลงสดอยู่บนเวทีได้เต็มที่
.
เพราะเหตุนั้นจึงทำให้เอย์จุนไม่ทันสังเกตเห็นว่าพนักงานที่รับออเดอร์ของตัวเองนั้นเลือกที่จะเดินผ่านนักดนตรีบนเวทีแทนที่จะเดินตรงไปยังบาร์เครื่องดื่มอย่างที่ควรจะเป็น
.
นาเบะผงกศีรษะน้อยๆ ไปทางโต๊ะหน้าสุดของเวที การกระทำที่เรียกความสนใจของนักดนตรีทั้งหมดไปยังทิศดังกล่าวได้ในทันที
.
เสียงของดับเบิลเบสขาดตอนไปชั่วขณะแบบที่ทำให้สมาชิกในวงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ หากการสะดุดของเครื่องสายที่เป็นเสียงกำกับโทนและจังหวะนั้นเล็กน้อยเสียจนผู้ฟังด้านล่างไม่ทันรับรู้
.
ท่วงทำนองที่ค่อยๆ แผ่วเบาลงบอกถึงการสิ้นสุดของบทเพลง ตามมาด้วยเสียงปรบมือของลูกค้าภายในร้าน ไม่มีใครคาดหวังว่าการเล่นดนตรีสดจะต้องดำเนินอย่างต่อเนื่องไปทั้งคืน ช่องว่างสั้นๆ ที่ไร้ซึ่งเสียงดนตรีขับกล่อมบรรยากาสคือช่วงพักของนักดนตรีที่ลูกค้าทั้งหมดเข้าใจถึงความจำเป็น
.
“ชิราสุ?”
.
“ไม่มีอะไร”
.
เพราะรู้จักกันมานานทำให้คนในวงรับรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของข้อความดังกล่าว
.
‘ไม่ใช่ตอนนี้’
.
คุราโมจิหรี่ตา ก่อนจะแอบชำเลืองไปมองต้นเหตุที่ทำให้คนสุขุมที่สุดภายในวงเสียอาการ
.
ลูกค้าคนที่นาเบะพึ่งพามานั่งที่โต๊ะ
.
ชายหนุ่มที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา ทว่าแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบที่แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีฐานะ
.
.
เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้งหลังจากการสนทนาผ่านทางสายตาจบลง คนในวงจงใจเลือกเพลงที่เน้นเสียงของแซคโซโฟนขึ้นมาเป็นพระเอกของเพลงหลังจากที่รู้ว่า ‘แฟนคลับ’ ของคนใส่แว่นแวะเวียนมาเป็นลูกค้าในร้านอีกครั้ง
.
ใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มกับบรรยากาศผ่อนคลายรอบๆ ตัวของคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าสุดทำให้นักดนตรีทั้งหมดอดรู้สึกยินดีไม่ได้ที่รู้ว่าดนตรีของพวกตนนั้นสร้างความสุนทรีย์ให้กับผู้ที่ได้รับฟังได้
.
ตลอดระยะเวลาที่นั่งอยู่ แฟนคลับของมิยูกิแทบจะไม่ได้แตะต้องแก้วเครื่องดื่มในมือเลย
.
จนกระทั่งน้ำแข็งในแก้วละลายจนหมด คนที่นั่งนิ่งมาตลอดจึงค่อยยกมือเรียกพนักงานที่ยืนรอให้บริการอยู่ใกล้ๆ เพื่อทำการเก็บเงิน ก่อนจะลุกออกไปจากร้านเงียบๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง
.
“ทิปวันนี้ลูกค้าฝากบอกให้แบ่งกันในวงนะ”
.
จำนวนเงินที่มากกว่าทุกครั้งอย่างเห็นได้ชัดถูกยื่นให้พร้อมคำอธิบาย
.
“อย่างเยอะ! แฟนคลับนายคนนี้ท่าจะรวยของจริงแล้วล่ะมิยูกิ”
.
คำพูดของมาเอโซโนะตามมาด้วยเสียงพ่นลมหายใจของมือเบสประจำวง
.
“แหงล่ะ ก็นั่นน่ะทายาทเพียงคนเดียวของเครือซาวามูระเลยนะ”
.
ชิราสุกระตุกยิ้มบางๆ หยิบมือถือขึ้นมากดหาอะไรบางอย่างซักพักก่อนจะหมุนหน้าจอมาให้ดูพร้อมคำอธิบายเพิ่มเติม
.
“ซาวามูระ เอย์จุน หลานชายของซาวามูระ เอย์โตกุ เจ้าของเครือซาวามูระที่ครองตลาดผลผลิตทางการเกษตรเกือบ 30% ของญี่ปุ่นในตอนนี้”
.
“เชี่ย!”
.
“ฉันถึงตกใจตอนที่เห็นหน้าคนที่นาเบะบอกว่าเป็นแฟนคลับของมิยูกิชัดๆ ไง ใครจะไปคิดล่ะว่าคนระดับนั้นจะเข้ามาเป็นลูกค้าในร้านให้เจอตัวได้ง่ายๆ แบบนี้”
.
“มิยูกิ นายตกถังข้าวสารของแท้แล้วล่ะงานนี้”
.
มิยูกิส่ายหน้ากับท่าทางตื่นเต้นเกินเหตุของเพื่อนร่วมวง
.
“พวกนายเพ้อเจ้อกันไปใหญ่แล้วน่า คนๆ นั้นก็คงแค่ชอบเพลงที่พวกเราเล่นแค่นั้นแหละ”
.
คุราโมจิแค่นหัวเราะเบาๆ
.
“ทำเป็นพูดดี ฉันเห็นหรอกว่านายแอบเหล่มองไปทางโต๊ะหน้าบ่อยๆ น่ะ”
.
มือกีตาร์ขยับยิ้มกริ่ม ดวงตาทอประกายวาวแบบนักล่าที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อ
.
“หน้าตาแบบนั้นน่ะไทป์นายชัดๆ”
.
ถ้อยคำที่พูดด้วยความมั่นใจจากเพื่อนสนิทที่รู้ไส้รู้พุงกันดีทำให้มิยูกิต้องยกมือขึ้นแสดงท่าทางแบบคนจำนนต่อคำพูด
.
“ต่อให้ตรงสเป็คแค่ไหน ฉันก็ไม่กล้าคิดจะไปเด็ดดอกฟ้าหรอก”
.
ชิราสุเลิกคิ้วกับคำแก้ตัวของคนใส่แว่น
.
“แปลว่าถ้าไม่ติดเรื่องฐานะ นายจะเดินหน้าจีบงั้นเหรอ?”
.
คำถามที่คนฟังเพียงกระตุกยิ้มพร้อมกับยักไหล่เบาๆ
.
“ก็นะ”
.
“โธ่เว้ย!!! ฉันก็อยากมีแฟนคลับรวยๆ มาคอยเปย์ให้กับเขาบ้างเหมือนกัน!!!”
.
เสียงโวยวายของมือกลองเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากเพื่อนในวง
.
.
.
.
.
.
.
เสียงดนตรีที่บรรเลงคลอไปเป็นบรรยากาศพื้นหลังดังเข้ามาในหูทันทีที่ก้าวเข้ามาในร้าน หากอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปทำให้เอย์จุนอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักพร้อมกับเอียงคอน้อยๆ อย่างนึกสงสัย
.
ก่อนจะกระพริบตาช้าๆ เมื่อพบว่าร่างของนักดนตรีบนเวทีนั้นมีคนน้อยกว่าที่เคย
.
“คุณลูกค้า…?”
.
เอย์จุนหันกลับไปตามเสียงเรียก ส่งยิ้มบางๆ ให้กับบริกรหนุ่มที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี
.
“วันนี้แซคโซโฟนไม่เล่นเหรอครับ?”
.
อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามถึงสาเหตุหลักที่ทำให้เข้ามาอุดหนุนเป็นลูกค้าประจำ
.
“อา…เห็นว่านักดนตรีติดงานอื่นน่ะครับ วันนี้เลยไม่ได้ขึ้นมาเล่น”
.
เอย์จุนส่งเสียงรับคำเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะขยับยิ้มพร้อมเดินตามหลังพนักงานหนุ่มไปยังโต๊ะที่ถูกจัดไว้ให้
.
…แอบเสียดายนิดๆ แฮะ…
.
เครื่องดื่มที่สั่งประจำเช่นทุกครั้งที่เข้ามาในร้านถูกวางลงหลังจากที่นั่งลงที่โต๊ะไม่นาน
.
เอย์จุนเอ่ยปากขอบคุณพนักงานที่ยกเครื่องดื่มมาให้โดยที่ไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ในมือ
.
ทว่าสิ่งที่ต่างไปจากเดิมคือเสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นเบาๆ ของบริกรที่เสิร์ฟเครื่องดื่มให้แทนที่จะเดินหายไปเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา
.
“ชอบแซคโซโฟนเหรอครับ?”
.
เอย์จุนเงยหน้าขึ้นมามองคนถาม
.
ก่อนดวงตาสีทองจะเบิกกว้างขึ้นน้อยๆ เมื่อใบหน้าของคนที่ควรจะยืนเป่าแซคโซโฟนอยู่บนเวทีปรากฏขึ้นในสายตา
.
“…”
.
ดวงตาด้านหลังกรอบแว่นพราวระยับทอประกายขบขันอยู่จางๆ อีกฝ่ายขยับยิ้มที่ทำให้ใบหน้าคมคายยิ่งดูน่ามองมากยิ่งขึ้น
.
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ ผมแค่อยากมาขอบคุณสำหรับคำชมกับทิป”
.
“…ไม่เป็นไรครับ”
.
เอย์จุนกระซิบตอบกลับเบาๆ พร้อมกับกะพริบตาช้าๆ แทนการตั้งสติ ก่อนจะนึกได้ว่าตนเองยังไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย
.
“จริงๆ ผมไม่ได้มีเครื่องดนตรีที่ชอบเป็นพิเศษ…แต่จะว่ายังไงดี…เสียงแซคโซโฟนของคุณมีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้ฟังแล้วอดรู้สึกหลงใหลไม่ได้ล่ะมั้ง”
.
ดวงตาด้านหลังกรอบแว่นขยายกว้าง ก่อนเจ้าตัวจะผงกศีรษะลงน้อยๆ
.
“สำหรับนักดนตรีแล้ว นั่นเป็นคำชมที่ทำให้รู้สึกมีความสุขมากที่สุดเลยล่ะครับ”
.
ถ้อยคำของอีกฝ่ายทำให้เอย์จุนขยับยิ้มบาง
.
“ขอบคุณสำหรับดนตรีเพราะๆเช่นกันนะครับ”
.
.
.
.
.
.
.
“คุราโมจิ”
.
“หือ?”
.
“ฉันกลืนน้ำลายตัวเองตอนนี้ทันมั้ย”
.
.
.
.
.
.
.
“ฉันคิดไปเองหรือเพลย์ลิสต์ช่วงนี้มันหวานแปลกๆ นะ…”
.
คาวาคามิกระซิบถามเพื่อนในวงหลังจากทำการสำรวจโน้ตเพลงที่ได้รับ ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นเสียงแค่นหัวเราะของคนที่ยืนที่ตั้งเสียงกีต้าร์อยู่ใกล้ๆ
.
คุราโมจิแยกเขี้ยวพลางเขม่นตามองคนใส่แว่นที่ยิ้มหน้าบานจนหน้าหมั่นไส้ตั้งแต่เห็นใครบางคนเดินเข้ามาในร้าน
.
ก่อนจะต้องนิ่วหน้ากับบรรยากาศสีชมพูที่ลอยฟุ้งอยู่รอบๆ ตัวอีกฝ่าย
.
“…กู่ไม่กลับแล้วล่ะหมอนี่…”
.
“เห็นแล้วขายหน้าแทนเลยแฮะ…”
.
“เป็นแค่หมามองเครื่องบินชัดๆ เลยแท้ๆ”
.
คำพูดของเพื่อนร่วมวงที่ดูจะดังเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา เมื่อชายหนุ่มเจ้าของเสียงแซคโซโฟนหวานละมุนที่ทำให้ลูกค้าสาวๆ ตกหลุมจนกลายมาเป็นแฟนคลับของเจ้าตัวไม่มีทีท่าจะเก็บข้อความดังกล่าวมาใส่ใจ
.
“มี ‘ลูกค้า’ ฝากมาถามว่ามีนักดนตรีกำลังตกหลุมรักอยู่เหรอ เพลงช่วงนี้ถึงได้หวานเป็นพิเศษน่ะ”
.
วาตานาเบะยื่นทิปให้กับคนในวงพร้อมกับเอ่ยประโยคที่รับฝากมาพร้อมกันยิ้มๆ
.
“ยังต้องถามอีกเหรอนาเบะ? ก็เห็นอยู่ว่ามีไอ้บ้าที่ยิ้มหวานเป็นมันเชื่อมยืนหัวโด่อยู่นี่น่ะ”
.
“ก็บอกว่าลูกค้าฝากมาถามไง”
.
“ถามจริง??”
.
บริกรหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
.
“ทางนั้นไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว”
.
ดวงตาของวาตานาเบะพราวระยับเป็นประกายขบขัน
.
“นอกจากนั้นยังพูดอีกด้วยนะว่า เล่นได้หวานขนาดที่น่าอิจฉาแทนคนที่กำลังโดนจีบเลย แถมยังฝากมาบอกว่าขอให้โชคดีด้วยนะ”
.
คำพูดที่ทำให้สมาชิกในวงทั้งหมดยกเว้นคนที่ถูกพูดถึงระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างกลั้นไม่อยู่
.
“แบบนี้เรียกว่าโดนปฏิเสธทางอ้อมรึเปล่า”
.
“เขาไม่รับรักแหนะ”
.
“ฉันว่าทางนั้นไม่ได้มองคนของเรามากไปกว่านักดนตรีที่ชอบเลยจริงๆ นั่นแหละ”
.
“ไม่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่นิดเดียวสินะ”
.
มิยูกิแยกเขี้ยวใส่เพื่อนร่วมวงที่กำลังนินทา(บวกแช่ง)ตัวเองในระยะเผาขนแบบไม่มีทีท่าว่าจะเกรงใจกันเลยซักนิด
.
ก่อนจะหันกลับไปทางพนักงานเสิร์ฟที่ตบบ่าเบาๆ คล้ายจะปลอบใจด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
.
…ที่เปลี่ยนไปเป็นดำทะมึนทันทีที่ได้ยินประโยคที่หลุดจากปากของอีกฝ่าย
.
“สู้เขานะมิยูกิ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น…ถึงฉันจะคิดว่าในกรณีนี้นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ก็เถอะ”
.
“นายด้วยเหรอนาเบะ!?”
.
.
.
.
.
.
.
“งั้นเหรอ…อืม นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ”
.
น้ำเสียงคุ้นหูที่ลอยเข้ามาให้ได้ยินทันทีที่เปิดประตูร้านทำให้มิยูกิชะงักไปน้อยๆ ก่อนดวงตาด้านหลังกรอบแว่นจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นภาพของเจ้าของเสียงดังกล่าวชัดๆ
.
“ก็เคยบอกแล้วนี่ว่าฉันรอได้”
.
ภาพของ ‘ลูกค้าประจำ’ ที่ควรจะกลับไปแล้วแต่กลับมายืนคุยโทรศัพท์อยู่ด้านหน้าร้าน
.
“อือ…เข้าใจแล้ว ขอบใจนะคาริบะ”
.
“…มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”
.
อดรู้สึกผิดไม่ได้เมื่อเห็นคนถูกถามสะดุ้งน้อยๆ ด้วยความตกใจ มิยูกิขยับยิ้มเจื่อนก่อนจะรีบเอ่ยปากขอโทษ
.
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับ”
.
อีกฝ่ายกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
.
“คราวก่อนที่พวกเราคุยกัน คุณก็ขอโทษผมแบบนี้เหมือนกันสินะ”
.
คำพูดที่ทำให้มิยูกิชะงักไปน้อยๆ ยกมือขึ้นมาลูบท้ายทอยแก้เก้อพร้อมหัวเราะแผ่วในขณะที่ในใจกำลังตะโกนอย่างบ้าคลั่งด้วยความยินดี
.
นอกจากจำได้ว่าเคยคุยกัน ยังจำคำพูดที่คุยกันได้ด้วย!!! แบบนี้แปลว่ามีหวังรึเปล่าวะ!?
.
“ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณตกใจนะ”
.
คำแก้ตัวที่เรียกเสียงหัวเราะใสๆ จากคู่สนทนา
.
“ผมรู้ครับ”
.
ดวงตาใต้กรอบแว่นชำเลืองมองโทรศัพท์ในมืออีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากถามเบาๆ
.
“เมื่อกี้ผมเห็นคุณคุยโทรศัพท์ท่าทางเครียดๆ…มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”
.
เพราะการพูดคุยครั้งแรกเกิดขึ้นขณะอีกฝ่ายนั่งอยู่ในร้าน ทำให้มิยูกิพึ่งสังเกตุเห็นว่าเขาสูงกว่าคนตรงหน้าอยู่เล็กน้อย
.
ทว่าก็เป็นความต่างของส่วนสูงที่มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นมาเวลาคุยกัน
.
“คนขั— เพื่อนที่จะมารับผมประสบอุบัติเหตุน่ะครับ เขาเลยโทรมาบอกว่าจะมาช้านิดหน่อย”
.
“ถ้างั้นเข้าไปรอในร้านไม่ดีกว่าเหรอครับ”
.
เจ้าของดวงตาสีทองที่งดงามยิ่งกว่าอัญมณีใดๆ ในความคิดของคนมองขยับยิ้มบาง
.
“ผมกลัวว่าถ้าเข้าไปข้างในแล้วจะฟังเพลงเพลินจนลืมเวลาน่ะครับ เลยว่ารออยู่ข้างนอกจะดีกว่า”
.
มิยูกิลอบผ่อนลมหายใจพร้อมกับเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เผลอหลุดยิ้มออกมา
.
“…อีกนานมั้ยครับกว่าเพื่อนคุณจะมารับ”
.
คนถูกถามก้มมองเวลาที่แสดงอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนคนกำลังใช้ความคิด
.
“ประมาณสิบห้านาทีละมั้ง?”
.
“ถ้างั้นให้ผมอยู่รอเป็นเพื่อนคุณข้างนอกนี่แล้วกัน”
.
ข้อเสนอที่คนฟังกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเอียงคอน้อยๆ
.
ภาพที่ทำให้คนมองรู้สึกเหมือนแว่นที่ใส่อยู่แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ
.
“ครับ?”
.
“สิบห้านาทีถ้ายืนคนเดียวก็คงน่าเบื่อแย่เลยใช่มั้ยละครับ ยังไงผมก็กำลังพักเบรกพอดี เลยคิดว่ามายืนคุยเป็นเพื่อนคุณดีกว่า”
.
ส่งยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดให้กับอีกฝ่าย
.
โอกาสทำคะแนนมาถึงแล้วทั้งทีจะปล่อยไปได้ไง!
.
“จะดีเหรอครับ? คือ…ผมเกรงใจน่ะ”
.
“ดีสิครับ ไม่งั้นก็ถือว่าผมตอบแทนสำหรับทิปที่คุณให้แล้วกัน”
.
มิยูกิมองรอยยิ้มที่แต้มขึ้นมาบนใบหน้าของคู่สนทนา ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายพร้อมกับสูดลมหายใจลึกเพื่อตั้งสติ จิกมือทั้งสองข้างลงกับขากางเกงเพื่อไม่ให้เผลอหลุดคว้าคนตรงหน้าเข้ามากอด
.
บ้าเอ๊ย…เป็นเอามากจริงๆ นั่นแหละเรา…
.
“ถ้างั้นสิบห้านาทีนี้ก็ขอรบกวนหน่อยนะครับ”
.
จะรบกวนกี่ชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา!
.
“ด้วยความยินดีครับ”
.
มิยูกิลอบมองคนที่ยืนหลับตาพิงกำแพงร้านข้างตัวเองอยู่เงียบๆ บทสทนาที่ขาดช่วงไม่ได้สร้างความอึดอัดขึ้นในบรรยากาศมากเท่ากับความประหม่าที่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองสนใจแบบสองต่อสอง
.
…เอาไงต่อดีวะ…
.
ตบตีกับตัวเองอยู่ในใจอยู่ซักพัก ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับอีกฝ่ายเบาๆ
.
“เดี๋ยวผมมานะ”
.
มิยูกิหมุนตัวกลับเข้าไปในร้าน ก่อนจะเดินกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับแซคโซโฟนคู่ใจ
.
“เอ๊ะ?”
.
คนใส่แว่นขยับยิ้มกับท่าทางงุนงงของอีกฝ่าย
.
“บริการพิเศษสำหรับแฟนคลับเบอร์หนึ่งของผ— ของวงครับ”
.
มิยูกิยกแซคโซโฟนขึ้นมาจรดริมฝีปาก ก่อนจะเริ่มบรรเลงทำนองเพลงหวานซึ้งที่เป็นเสมือนคำแทนความรู้สึกในใจ
.
🎵Wise men say
Only fools rush in
But I can’t help falling in love with you🎶
.