Posted in Uncategorized

[Daiya no Ace] Sweet Serenade

Title : Sweet Serenade

Fandom : Daiya no Ace

Pairing : Miyuki Kazuya*Sawamura Eijun

.

.

.

.

ดวงตาสีทองจ้องตรงไปยังพื้นที่ยกขึ้นเป็นเวทีเล็กๆ สำหรับวงดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงแจสที่มีเสียงแซคโซโฟนนุ่มๆ เป็นเครื่องดนตรีเด่น ปลายนิ้วขยับเคาะลงไปตามขอบแก้วเครื่องดื่มในมือเบาๆ ตามทำนองเพลง

.

โต๊ะที่เอย์จุนนั่งอยู่นั้นตั้งอยู่ด้านในสุดของร้าน หากมีมุมที่สามารถมองเห็นวงดนตรีบนเวทีด้านหน้าได้อย่างชัดเจน

.

ท่วงทำนองที่เปลี่ยนจากเพลงหนึ่งไปเป็นอีกเพลงหนึ่งทำให้อย่างลื่นไหลไม่มีขัดหูบ่งบอกถึงความสามารถของนักดนตรีบนเวทีได้เป็นอย่างดี

.

เอย์จุนละสายตาจากการบรรเลงดนตรีสดไปยังแก้วเครื่องดื่มในมือก่อนจะหลุดหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เมื่อพบว่าของเหลวภายในแก้วแทบไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ แถมยังถูกเจือจางจนเสียรสจากน้ำแข็งที่ละลายไปจนเกือบทั้งหมด

.

…เอาเถอะ ยังไงเครื่องดื่มนี่ก็แค่สั่งมาตามมารยาท… 

.

เอย์จุนไม่ใช่นักดื่ม และสาเหตุที่ทำให้เขามากลายมาเป็นขาประจำของบาร์เหล้าแห่งนี้ก็ไม่ใช่เพราะเครื่องดื่มมาตั้งแต่ต้น เพราะสิ่งที่ดึงดูดให้เอย์จุนก้าวขาเข้ามาในร้านนี้ทุกๆ เย็นก็คือวงดนตรีแจสที่ถูกจ้างมาบรรเลงเพลงสร้างบรรยากาศให้ภายในบาร์

.

…หรือถ้าจะให้เจาะจง… 

.

เอย์จุนตกหลุมรักเสียงแซคโซโฟนของนักดนตรีบนเวทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน

.

(การที่นักดนตรีคนที่ว่าหน้าตาดูดีแบบที่ตรงความชอบของเขาพอดีนั่นเอย์จุนถือว่าเป็นโบนัส)

.

ดวงตาสีทองชำเลืองมองหน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ หลังจากที่เห็นเวลาที่แสดงอยู่ 

.

เอย์จุนชูมือน้อยๆ ส่งสัญญาณเรียกเก็บเงินให้กับบริกรที่อยู่ใกล้ๆ ริมฝีปากขยับกระซิบถ้อยคำบางอย่าง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากร้านอย่างเงียบๆ หลังจากจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย สองขาขาขึ้นรถยนต์คันหรูที่แล่นมาจอดเทียบถึงหน้าประตูร้าน

.

“มาได้จังหวะพอดีเหมือนเดิมเลยนะคาริบะ” 

.

“ผมไม่กล้าให้นายน้อยต้องรอหรอกครับ”

.

เอย์จุนขยับยิ้มบางๆ กับคำตอบของคนสนิทที่เป็นเสมือนมือขวาของตัวเอง

.

“นายก็รู้ว่าฉันไม่ถือถ้าจะต้องรอหรอกนะ”

.

“แต่ถ้าคุณท่านรู้หัวผมจะขาดเอาน่ะสิครับ”

.

คำแย้งที่คนฟังเพียงตอบรับด้วยรอยยิ้มเจื่อน

.

“…เตือนฉันให้ขึ้นเงินเดือนให้นายด้วยล่ะ…” 

.

.

.

.

.

.

.

“มิยูกิ ลูกค้าบอกว่าชอบเสียงแซคของนายมาก เลยฝากทิปมาให้น่ะ”

.

ธนบัตรเงินสดถูกยื่นมาให้กับหนึ่งในที่กำลังเก็บเครื่องดนตรีประจำตัวอยู่บนเวทีหลังจากร้านปิดทำการ

.

“อีกแล้วเรอะ!? ทำไมนายถึงได้ทิปอยู่คนเดียวเลยวะมิยูกิ! เล่นก็เล่นด้วยกันหมดแท้ๆ”

.

มาเอโซโนะ มือกลองประจำวงบ่นอุบ 

.

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายหนุ่มเจ้าของเสียงแซคโซโฟนนุ่มหูได้รับคำชมกับทิปจากลูกค้าที่มานั่งดื่มในร้าน เพราะในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา อีกฝ่ายมักจะได้รับคำชมและสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ฝากผ่านมาทางบริกรของร้านแทบจะทุกวันที่ขึ้นมาเล่นดนตรีบนเวที

.

“คนเดิม?”

.

“อือ” 

.

รอยยิ้มบางๆ แต้มขึ้นบนใบหน้าของพนักงานเสิร์ฟประจำร้าน

.

“ฉันว่าลูกค้าคนนั้นคงตั้งใจมาฟังดนตรีมากกว่าจะมาดื่ม เพราะตอนเรียกเก็บเงินทีไรฉันแทบจะไม่เคยเห็นเหล้าในแก้วพร่องลงไปเลย” วาตานาเบะโคลงหัวน้อยๆ “พึ่งเคยเจอลูกค้าที่สั่งเหล้าที่แพงที่สุดของร้านมานั่งถือไว้เฉยๆ ก็คราวนี้ล่ะ” 

.

คุราโมจิผิวปากหวือ กระทุ้งศอกใส่คนใส่แว่นที่กำลังเก็บแซคโซโฟนกลับลงกล่องพร้อมกับเอ่ยปากกระเซ้า

.

“แฟนคลับนายคนนี้ดูท่าจะรวยน่าดู ถึงได้สั่งเหล้าราคาแพงระยับนั่นทั้งที่มีอะไรให้เลือกตั้งเยอะในการสั่งตามมารยาทเวลาเข้ามาฟังเพลงในร้านแบบนี้” มือกีต้าร์กระตุกยิ้มบาง “ไหนจะทิปนั่นอีก” 

.

“แน่ใจเหรอว่าลูกค้าคนนั้นเป็นแค่แฟนคลับที่ชอบเสียงแซคของมิยูกิน่ะ”

.

คำพูดของมือเบสประจำวงเรียกให้สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่คนพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน

.

“หมายความว่าไงน่ะชิราสุ”

.

“ก็ถ้ารวยขนาดนั้น จะไปหาฟังดนตรีแจสดีๆ ก็ไม่น่าจะยากนี่นา ไม่เห็นจำเป็นต้องมาที่บาร์เหล้าแบบนี้ก็ได้นี่?” 

.

“นี่นายจะบอกว่าพวกเราเล่นห่วยงั้นเรอะ!!”

.

คนเล่นดับเบิลเบสส่ายหัว ปฏิเสธข้อกล่าวหาของเพื่อนร่วมวง ในขณะที่คุราโมจิหรี่ตาลงน้อยๆ แบบคนใช้ความคิด หากคนที่พูดขึ้นมาก่อนกลับเป็นโนริฟูมิที่ประจำในตำแหน่งนักเปียโนของวง

.

“นายหมายถึง…ลูกค้าคนนั้นเป็นแฟนคลับมิยูกิในแง่ที่ไม่ใช่ดนตรี?” 

.

“…มันก็เป็นไปได้อยู่นะ…”

.

ก่อนที่ข้อสังเกตดังกล่าวจะถูกปัดตกในทันที

.

“ฉันว่าไม่น่าใช่…” บริกรหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงเข้ามาทำความรู้จักกับมิยูกิแล้ว ไม่แค่ฝากฉันมาแค่คำชมกับทิปแบบนี้หรอก คนนั้นน่ะเป็นลูกค้าที่ตั้งใจเข้ามาฟังดนตรีเพราะชอบจริงๆ” 

.

“โธ่เว้ย! ทำไมถึงเป็นนายที่มีแฟนคลับอยู่คนเดียวทุกทีนะมิยูกิ! สมัยมหาลัยก็แบบนี้ทีนึงแล้ว!!”

.

“แต่สมัยมหาลัยชิราสุก็เนื้อหอมนะ”

.

“หน้าตา! ต้องเป็นเพราะหน้าตาแน่ๆ!!”

.

“…นี่นายร้องไห้เลยเหรอโซโนะ…”

.

คนใส่แว่นที่ถูกลากไปเป็นหัวข้อสนทนาของเพื่อนๆ ในกลุ่มถอนหายใจเบาๆ 

.

“ทำไมพวกนายถึงได้ดูใส่ใจกับเรื่องนี้มากกว่าฉันอีกล่ะเนี่ย”

.

คำเปรยถามที่คุราโมจิเลิกคิ้ว ก่อนจะแค่นหัวเราะพร้อมกับกลอกตาน้อยๆ

.

“นายเองก็อยากรู้เหอะ ไม่งั้นจะถามนาเบะทำไมว่าคนเดิมรึเปล่า”

.

มิยูกิยักไหล่ สะพายกระเป๋าที่บรรจุแซคโซโฟนคู่ใจขึ้นบ่า

.

“ก็แค่อยากบอกขอบคุณสำหรับคำชมกับทิป” 

.

“ให้มันจริงเถอะ”

.

คนใส่แว่นขยับยิ้มกว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นบนโบกน้อยๆ แทนคำบอกลา

.

มิยูกิไม่ได้โกหก เขาไม่ได้อยากรู้จักนักว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน ที่ถามนาเบะออกไปก็เพียงแค่เพราะอยากจะขอบคุณสำหรับกำลังใจที่อีกฝ่ายมอบให้ผ่านทางทิปและคำชื่นชมในเสียงแซคโซโฟนของตัวเองเท่านั้น 

.

เงินที่ได้รับมานั้นไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็สร้างกำลังใจให้ได้อยู่ไม่น้อย และสิ่งที่ทำให้ยินดียิ่งกว่า ก็คือคำชมที่มักจะมาพร้อมกัน

.

…แต่ถ้าฝ่ายนั้นไม่อยากจะเปิดเผยตัว…สิ่งที่เขาพอจะตอบแทนให้ได้ก็คงเป็นการทุ่มเทเล่นดนตรีอย่างสุดฝีมือเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้กับคนฟังเท่านั้น 

.

.

.

.

.

.

.

เอย์จุนกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้านเพื่อหาโต๊ะว่างที่เหลืออยู่ วันนี้เขามาถึงร้านสายกว่าทุกครั้งทำให้โต๊ะที่เคยนั่งเป็นประจำถูกลูกค้าคนอื่นจับจองไปเป็นที่เรียบร้อย 

.

ดวงตาสีทองตวัดไปมองตามคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนหัวคิ้วจะมุ่นเข้าหากันน้อยๆ เมื่อพบว่าโต๊ะที่ว่านั้นตั้งอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าสุดติดกับยกพื้นที่เป็นเวทีสำหรับนักดนตรีพอดี

.

เอย์จุนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับ 

.

เพราะไม่อยากอยากตกเป็นเป้าสายตาเอย์จุนจึงพยายามเลือกที่นั่งที่ไม่สะดุดตาใครทุกครั้งที่เข้ามาเป็นลูกค้าของร้าน และจากการที่พนักงานไม่ได้แสดงท่าทางอะไรผิดไปจากปกติทำให้เอย์จุนพอวางใจได้ว่าไม่มีใครจำ หรือรู้จักฐานะและตัวตนจริงๆ ของเขา

.

…แค่นั่งด้านหน้าครั้งเดียวคงไม่เป็นอะไรล่ะมั้ง…

.

เอย์จุนเดินตามหลังบริกรไปยังโต๊ะหน้าเวที ก่อนจะเอ่ยปากสั่งเครื่องดื่มที่สั่งประจำกับอีกฝ่ายทันทีที่หย่อนตัวลงนั่งบนเบาะเก้าอี้

.

ความอ่อนล้าที่สะสมมาจากการทำงานทั้งวันที่ผ่านมาทำให้เลือกที่จะหลับตาลงเพื่อให้สามารถซึมซับท่วงทำนองของวงดนตรีที่บรรเลงสดอยู่บนเวทีได้เต็มที่ 

.

เพราะเหตุนั้นจึงทำให้เอย์จุนไม่ทันสังเกตเห็นว่าพนักงานที่รับออเดอร์ของตัวเองนั้นเลือกที่จะเดินผ่านนักดนตรีบนเวทีแทนที่จะเดินตรงไปยังบาร์เครื่องดื่มอย่างที่ควรจะเป็น

.

นาเบะผงกศีรษะน้อยๆ ไปทางโต๊ะหน้าสุดของเวที การกระทำที่เรียกความสนใจของนักดนตรีทั้งหมดไปยังทิศดังกล่าวได้ในทันที 

.

เสียงของดับเบิลเบสขาดตอนไปชั่วขณะแบบที่ทำให้สมาชิกในวงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ หากการสะดุดของเครื่องสายที่เป็นเสียงกำกับโทนและจังหวะนั้นเล็กน้อยเสียจนผู้ฟังด้านล่างไม่ทันรับรู้

.

ท่วงทำนองที่ค่อยๆ แผ่วเบาลงบอกถึงการสิ้นสุดของบทเพลง ตามมาด้วยเสียงปรบมือของลูกค้าภายในร้าน ไม่มีใครคาดหวังว่าการเล่นดนตรีสดจะต้องดำเนินอย่างต่อเนื่องไปทั้งคืน ช่องว่างสั้นๆ ที่ไร้ซึ่งเสียงดนตรีขับกล่อมบรรยากาสคือช่วงพักของนักดนตรีที่ลูกค้าทั้งหมดเข้าใจถึงความจำเป็น

.

“ชิราสุ?”

.

“ไม่มีอะไร”

.

เพราะรู้จักกันมานานทำให้คนในวงรับรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของข้อความดังกล่าว 

.

ไม่ใช่ตอนนี้’

.

คุราโมจิหรี่ตา ก่อนจะแอบชำเลืองไปมองต้นเหตุที่ทำให้คนสุขุมที่สุดภายในวงเสียอาการ

.

ลูกค้าคนที่นาเบะพึ่งพามานั่งที่โต๊ะ

.

ชายหนุ่มที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา ทว่าแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบที่แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีฐานะ 

.

.

เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้งหลังจากการสนทนาผ่านทางสายตาจบลง คนในวงจงใจเลือกเพลงที่เน้นเสียงของแซคโซโฟนขึ้นมาเป็นพระเอกของเพลงหลังจากที่รู้ว่า ‘แฟนคลับ’ ของคนใส่แว่นแวะเวียนมาเป็นลูกค้าในร้านอีกครั้ง 

.

ใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มกับบรรยากาศผ่อนคลายรอบๆ ตัวของคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าสุดทำให้นักดนตรีทั้งหมดอดรู้สึกยินดีไม่ได้ที่รู้ว่าดนตรีของพวกตนนั้นสร้างความสุนทรีย์ให้กับผู้ที่ได้รับฟังได้

.

ตลอดระยะเวลาที่นั่งอยู่ แฟนคลับของมิยูกิแทบจะไม่ได้แตะต้องแก้วเครื่องดื่มในมือเลย 

.

จนกระทั่งน้ำแข็งในแก้วละลายจนหมด คนที่นั่งนิ่งมาตลอดจึงค่อยยกมือเรียกพนักงานที่ยืนรอให้บริการอยู่ใกล้ๆ เพื่อทำการเก็บเงิน ก่อนจะลุกออกไปจากร้านเงียบๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง

.

“ทิปวันนี้ลูกค้าฝากบอกให้แบ่งกันในวงนะ”

.

จำนวนเงินที่มากกว่าทุกครั้งอย่างเห็นได้ชัดถูกยื่นให้พร้อมคำอธิบาย 

.

“อย่างเยอะ! แฟนคลับนายคนนี้ท่าจะรวยของจริงแล้วล่ะมิยูกิ”

.

คำพูดของมาเอโซโนะตามมาด้วยเสียงพ่นลมหายใจของมือเบสประจำวง

.

“แหงล่ะ ก็นั่นน่ะทายาทเพียงคนเดียวของเครือซาวามูระเลยนะ”

.

ชิราสุกระตุกยิ้มบางๆ หยิบมือถือขึ้นมากดหาอะไรบางอย่างซักพักก่อนจะหมุนหน้าจอมาให้ดูพร้อมคำอธิบายเพิ่มเติม 

.

ซาวามูระ เอย์จุน หลานชายของซาวามูระ เอย์โตกุ เจ้าของเครือซาวามูระที่ครองตลาดผลผลิตทางการเกษตรเกือบ 30% ของญี่ปุ่นในตอนนี้”

.

“เชี่ย!”

.

“ฉันถึงตกใจตอนที่เห็นหน้าคนที่นาเบะบอกว่าเป็นแฟนคลับของมิยูกิชัดๆ ไง ใครจะไปคิดล่ะว่าคนระดับนั้นจะเข้ามาเป็นลูกค้าในร้านให้เจอตัวได้ง่ายๆ แบบนี้” 

.

“มิยูกิ นายตกถังข้าวสารของแท้แล้วล่ะงานนี้”

.

มิยูกิส่ายหน้ากับท่าทางตื่นเต้นเกินเหตุของเพื่อนร่วมวง

.

“พวกนายเพ้อเจ้อกันไปใหญ่แล้วน่า คนๆ นั้นก็คงแค่ชอบเพลงที่พวกเราเล่นแค่นั้นแหละ”

.

คุราโมจิแค่นหัวเราะเบาๆ

.

“ทำเป็นพูดดี ฉันเห็นหรอกว่านายแอบเหล่มองไปทางโต๊ะหน้าบ่อยๆ น่ะ” 

.

มือกีตาร์ขยับยิ้มกริ่ม ดวงตาทอประกายวาวแบบนักล่าที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อ

.

“หน้าตาแบบนั้นน่ะไทป์นายชัดๆ”

.

ถ้อยคำที่พูดด้วยความมั่นใจจากเพื่อนสนิทที่รู้ไส้รู้พุงกันดีทำให้มิยูกิต้องยกมือขึ้นแสดงท่าทางแบบคนจำนนต่อคำพูด

.

“ต่อให้ตรงสเป็คแค่ไหน ฉันก็ไม่กล้าคิดจะไปเด็ดดอกฟ้าหรอก” 

.

ชิราสุเลิกคิ้วกับคำแก้ตัวของคนใส่แว่น 

.

“แปลว่าถ้าไม่ติดเรื่องฐานะ นายจะเดินหน้าจีบงั้นเหรอ?”

.

คำถามที่คนฟังเพียงกระตุกยิ้มพร้อมกับยักไหล่เบาๆ

.

“ก็นะ”

.

“โธ่เว้ย!!! ฉันก็อยากมีแฟนคลับรวยๆ มาคอยเปย์ให้กับเขาบ้างเหมือนกัน!!!”

.

เสียงโวยวายของมือกลองเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากเพื่อนในวง 

.

.

.

.

.

.

.

เสียงดนตรีที่บรรเลงคลอไปเป็นบรรยากาศพื้นหลังดังเข้ามาในหูทันทีที่ก้าวเข้ามาในร้าน หากอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปทำให้เอย์จุนอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักพร้อมกับเอียงคอน้อยๆ อย่างนึกสงสัย

.

ก่อนจะกระพริบตาช้าๆ เมื่อพบว่าร่างของนักดนตรีบนเวทีนั้นมีคนน้อยกว่าที่เคย

.

“คุณลูกค้า…?”

.

เอย์จุนหันกลับไปตามเสียงเรียก ส่งยิ้มบางๆ ให้กับบริกรหนุ่มที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี

.

“วันนี้แซคโซโฟนไม่เล่นเหรอครับ?”

.

อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามถึงสาเหตุหลักที่ทำให้เข้ามาอุดหนุนเป็นลูกค้าประจำ 

.

“อา…เห็นว่านักดนตรีติดงานอื่นน่ะครับ วันนี้เลยไม่ได้ขึ้นมาเล่น”

.

เอย์จุนส่งเสียงรับคำเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะขยับยิ้มพร้อมเดินตามหลังพนักงานหนุ่มไปยังโต๊ะที่ถูกจัดไว้ให้

.

…แอบเสียดายนิดๆ แฮะ…

.

เครื่องดื่มที่สั่งประจำเช่นทุกครั้งที่เข้ามาในร้านถูกวางลงหลังจากที่นั่งลงที่โต๊ะไม่นาน 

.

เอย์จุนเอ่ยปากขอบคุณพนักงานที่ยกเครื่องดื่มมาให้โดยที่ไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ในมือ

.

ทว่าสิ่งที่ต่างไปจากเดิมคือเสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นเบาๆ ของบริกรที่เสิร์ฟเครื่องดื่มให้แทนที่จะเดินหายไปเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา

.

“ชอบแซคโซโฟนเหรอครับ?”

.

เอย์จุนเงยหน้าขึ้นมามองคนถาม 

.

ก่อนดวงตาสีทองจะเบิกกว้างขึ้นน้อยๆ เมื่อใบหน้าของคนที่ควรจะยืนเป่าแซคโซโฟนอยู่บนเวทีปรากฏขึ้นในสายตา

.

“…”

.

ดวงตาด้านหลังกรอบแว่นพราวระยับทอประกายขบขันอยู่จางๆ อีกฝ่ายขยับยิ้มที่ทำให้ใบหน้าคมคายยิ่งดูน่ามองมากยิ่งขึ้น

.

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ ผมแค่อยากมาขอบคุณสำหรับคำชมกับทิป” 

.

“…ไม่เป็นไรครับ”

.

เอย์จุนกระซิบตอบกลับเบาๆ พร้อมกับกะพริบตาช้าๆ แทนการตั้งสติ ก่อนจะนึกได้ว่าตนเองยังไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย

.

“จริงๆ ผมไม่ได้มีเครื่องดนตรีที่ชอบเป็นพิเศษ…แต่จะว่ายังไงดี…เสียงแซคโซโฟนของคุณมีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้ฟังแล้วอดรู้สึกหลงใหลไม่ได้ล่ะมั้ง” 

.

ดวงตาด้านหลังกรอบแว่นขยายกว้าง ก่อนเจ้าตัวจะผงกศีรษะลงน้อยๆ

.

“สำหรับนักดนตรีแล้ว นั่นเป็นคำชมที่ทำให้รู้สึกมีความสุขมากที่สุดเลยล่ะครับ”

.

ถ้อยคำของอีกฝ่ายทำให้เอย์จุนขยับยิ้มบาง

.

“ขอบคุณสำหรับดนตรีเพราะๆเช่นกันนะครับ”

.

.

.

.

.

.

.

“คุราโมจิ”

.

“หือ?”

.

“ฉันกลืนน้ำลายตัวเองตอนนี้ทันมั้ย” 

.

.

.

.

.

.

.

“ฉันคิดไปเองหรือเพลย์ลิสต์ช่วงนี้มันหวานแปลกๆ นะ…”

.

คาวาคามิกระซิบถามเพื่อนในวงหลังจากทำการสำรวจโน้ตเพลงที่ได้รับ ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นเสียงแค่นหัวเราะของคนที่ยืนที่ตั้งเสียงกีต้าร์อยู่ใกล้ๆ

.

คุราโมจิแยกเขี้ยวพลางเขม่นตามองคนใส่แว่นที่ยิ้มหน้าบานจนหน้าหมั่นไส้ตั้งแต่เห็นใครบางคนเดินเข้ามาในร้าน

.

ก่อนจะต้องนิ่วหน้ากับบรรยากาศสีชมพูที่ลอยฟุ้งอยู่รอบๆ ตัวอีกฝ่าย

.

“…กู่ไม่กลับแล้วล่ะหมอนี่…”

.

“เห็นแล้วขายหน้าแทนเลยแฮะ…”

.

“เป็นแค่หมามองเครื่องบินชัดๆ เลยแท้ๆ” 

.

คำพูดของเพื่อนร่วมวงที่ดูจะดังเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา เมื่อชายหนุ่มเจ้าของเสียงแซคโซโฟนหวานละมุนที่ทำให้ลูกค้าสาวๆ ตกหลุมจนกลายมาเป็นแฟนคลับของเจ้าตัวไม่มีทีท่าจะเก็บข้อความดังกล่าวมาใส่ใจ

.

“มี ‘ลูกค้า’ ฝากมาถามว่ามีนักดนตรีกำลังตกหลุมรักอยู่เหรอ เพลงช่วงนี้ถึงได้หวานเป็นพิเศษน่ะ” 

.

วาตานาเบะยื่นทิปให้กับคนในวงพร้อมกับเอ่ยประโยคที่รับฝากมาพร้อมกันยิ้มๆ

.

“ยังต้องถามอีกเหรอนาเบะ? ก็เห็นอยู่ว่ามีไอ้บ้าที่ยิ้มหวานเป็นมันเชื่อมยืนหัวโด่อยู่นี่น่ะ”

.

“ก็บอกว่าลูกค้าฝากมาถามไง”

.

“ถามจริง??”

.

บริกรหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

.

“ทางนั้นไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว” 

.

ดวงตาของวาตานาเบะพราวระยับเป็นประกายขบขัน

.

“นอกจากนั้นยังพูดอีกด้วยนะว่า เล่นได้หวานขนาดที่น่าอิจฉาแทนคนที่กำลังโดนจีบเลย แถมยังฝากมาบอกว่าขอให้โชคดีด้วยนะ”

.

คำพูดที่ทำให้สมาชิกในวงทั้งหมดยกเว้นคนที่ถูกพูดถึงระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างกลั้นไม่อยู่ 

.

“แบบนี้เรียกว่าโดนปฏิเสธทางอ้อมรึเปล่า”

.

“เขาไม่รับรักแหนะ”

.

“ฉันว่าทางนั้นไม่ได้มองคนของเรามากไปกว่านักดนตรีที่ชอบเลยจริงๆ นั่นแหละ”

.

“ไม่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่นิดเดียวสินะ”

.

มิยูกิแยกเขี้ยวใส่เพื่อนร่วมวงที่กำลังนินทา(บวกแช่ง)ตัวเองในระยะเผาขนแบบไม่มีทีท่าว่าจะเกรงใจกันเลยซักนิด 

.

ก่อนจะหันกลับไปทางพนักงานเสิร์ฟที่ตบบ่าเบาๆ คล้ายจะปลอบใจด้วยสีหน้าซาบซึ้ง

.

…ที่เปลี่ยนไปเป็นดำทะมึนทันทีที่ได้ยินประโยคที่หลุดจากปากของอีกฝ่าย

.

“สู้เขานะมิยูกิ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น…ถึงฉันจะคิดว่าในกรณีนี้นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ก็เถอะ”

.

“นายด้วยเหรอนาเบะ!?” 

.

.

.

.

.

.

.

“งั้นเหรอ…อืม นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ”

.

น้ำเสียงคุ้นหูที่ลอยเข้ามาให้ได้ยินทันทีที่เปิดประตูร้านทำให้มิยูกิชะงักไปน้อยๆ ก่อนดวงตาด้านหลังกรอบแว่นจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นภาพของเจ้าของเสียงดังกล่าวชัดๆ

.

“ก็เคยบอกแล้วนี่ว่าฉันรอได้”

.

ภาพของ ‘ลูกค้าประจำ’ ที่ควรจะกลับไปแล้วแต่กลับมายืนคุยโทรศัพท์อยู่ด้านหน้าร้าน

.

“อือ…เข้าใจแล้ว ขอบใจนะคาริบะ”

.

“…มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”

.

อดรู้สึกผิดไม่ได้เมื่อเห็นคนถูกถามสะดุ้งน้อยๆ ด้วยความตกใจ มิยูกิขยับยิ้มเจื่อนก่อนจะรีบเอ่ยปากขอโทษ

.

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับ”

.

อีกฝ่ายกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ 

.

“คราวก่อนที่พวกเราคุยกัน คุณก็ขอโทษผมแบบนี้เหมือนกันสินะ”

.

คำพูดที่ทำให้มิยูกิชะงักไปน้อยๆ ยกมือขึ้นมาลูบท้ายทอยแก้เก้อพร้อมหัวเราะแผ่วในขณะที่ในใจกำลังตะโกนอย่างบ้าคลั่งด้วยความยินดี

.

นอกจากจำได้ว่าเคยคุยกัน ยังจำคำพูดที่คุยกันได้ด้วย!!! แบบนี้แปลว่ามีหวังรึเปล่าวะ!? 

.

“ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณตกใจนะ”

.

คำแก้ตัวที่เรียกเสียงหัวเราะใสๆ จากคู่สนทนา

.

“ผมรู้ครับ”

.

ดวงตาใต้กรอบแว่นชำเลืองมองโทรศัพท์ในมืออีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากถามเบาๆ

.

“เมื่อกี้ผมเห็นคุณคุยโทรศัพท์ท่าทางเครียดๆ…มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ” 

.

เพราะการพูดคุยครั้งแรกเกิดขึ้นขณะอีกฝ่ายนั่งอยู่ในร้าน ทำให้มิยูกิพึ่งสังเกตุเห็นว่าเขาสูงกว่าคนตรงหน้าอยู่เล็กน้อย

.

ทว่าก็เป็นความต่างของส่วนสูงที่มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นมาเวลาคุยกัน

.

“คนขั— เพื่อนที่จะมารับผมประสบอุบัติเหตุน่ะครับ เขาเลยโทรมาบอกว่าจะมาช้านิดหน่อย” 

.

“ถ้างั้นเข้าไปรอในร้านไม่ดีกว่าเหรอครับ”

.

เจ้าของดวงตาสีทองที่งดงามยิ่งกว่าอัญมณีใดๆ ในความคิดของคนมองขยับยิ้มบาง

.

“ผมกลัวว่าถ้าเข้าไปข้างในแล้วจะฟังเพลงเพลินจนลืมเวลาน่ะครับ เลยว่ารออยู่ข้างนอกจะดีกว่า”

.

มิยูกิลอบผ่อนลมหายใจพร้อมกับเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เผลอหลุดยิ้มออกมา 

.

“…อีกนานมั้ยครับกว่าเพื่อนคุณจะมารับ”

.

คนถูกถามก้มมองเวลาที่แสดงอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนคนกำลังใช้ความคิด

.

“ประมาณสิบห้านาทีละมั้ง?”

.

“ถ้างั้นให้ผมอยู่รอเป็นเพื่อนคุณข้างนอกนี่แล้วกัน”

.

ข้อเสนอที่คนฟังกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเอียงคอน้อยๆ 

.

ภาพที่ทำให้คนมองรู้สึกเหมือนแว่นที่ใส่อยู่แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ

.

“ครับ?”

.

“สิบห้านาทีถ้ายืนคนเดียวก็คงน่าเบื่อแย่เลยใช่มั้ยละครับ ยังไงผมก็กำลังพักเบรกพอดี เลยคิดว่ามายืนคุยเป็นเพื่อนคุณดีกว่า”

.

ส่งยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดให้กับอีกฝ่าย

.

โอกาสทำคะแนนมาถึงแล้วทั้งทีจะปล่อยไปได้ไง! 

.

“จะดีเหรอครับ? คือ…ผมเกรงใจน่ะ”

.

“ดีสิครับ ไม่งั้นก็ถือว่าผมตอบแทนสำหรับทิปที่คุณให้แล้วกัน”

.

มิยูกิมองรอยยิ้มที่แต้มขึ้นมาบนใบหน้าของคู่สนทนา ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายพร้อมกับสูดลมหายใจลึกเพื่อตั้งสติ จิกมือทั้งสองข้างลงกับขากางเกงเพื่อไม่ให้เผลอหลุดคว้าคนตรงหน้าเข้ามากอด 

.

บ้าเอ๊ย…เป็นเอามากจริงๆ นั่นแหละเรา…

.

“ถ้างั้นสิบห้านาทีนี้ก็ขอรบกวนหน่อยนะครับ”

.

จะรบกวนกี่ชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา!

.

“ด้วยความยินดีครับ”

.

มิยูกิลอบมองคนที่ยืนหลับตาพิงกำแพงร้านข้างตัวเองอยู่เงียบๆ บทสทนาที่ขาดช่วงไม่ได้สร้างความอึดอัดขึ้นในบรรยากาศมากเท่ากับความประหม่าที่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองสนใจแบบสองต่อสอง

.

…เอาไงต่อดีวะ…

.

ตบตีกับตัวเองอยู่ในใจอยู่ซักพัก ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับอีกฝ่ายเบาๆ

.

“เดี๋ยวผมมานะ”

.

มิยูกิหมุนตัวกลับเข้าไปในร้าน ก่อนจะเดินกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับแซคโซโฟนคู่ใจ

.

“เอ๊ะ?”

.

คนใส่แว่นขยับยิ้มกับท่าทางงุนงงของอีกฝ่าย 

.

“บริการพิเศษสำหรับแฟนคลับเบอร์หนึ่งของผ— ของวงครับ”

.

มิยูกิยกแซคโซโฟนขึ้นมาจรดริมฝีปาก ก่อนจะเริ่มบรรเลงทำนองเพลงหวานซึ้งที่เป็นเสมือนคำแทนความรู้สึกในใจ

.

🎵Wise men say
Only fools rush in
But I can’t help falling in love with you🎶

.

Posted in Daiya no Ace, Fiction

[Daiya no Ace] Pave the way to the Mound : 1st Ining

.

.

.

.

ดวงตาสีทองจ้องนามบัตรแผ่นเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กด้วยแววตาหลากหลายความรู้สึก กระดาษแข็งสีขาวขลิบน้ำเงินที่มีเพียงชื่อและเบอร์ติดต่อของผู้เป็นเจ้าของพิมพ์ไว้ด้วยตัวอักษรเรียบๆ หากดูสะอาดตา

.

‘ทาคาชิมะ เรย์’

“เอย์จัง…”

.

เอย์จุนเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียกของเพื่อนสนิท วาคานะเอื้อมมือมากุมมือที่สั่นน้อยๆ เอาไว้หลวมๆ พร้อมกับออกแรงบีบเบาๆ คล้ายจะเรียกสติพร้อมกับให้กำลังใจไปในเวลาเดียวกัน สัมผัสที่เอย์จุนตอบรับด้วยการส่งรอยยิ้มบางกลับไปให้แทนคำขอบคุณ

.

“…เซย์โด..?”

.

“เซย์โด” เอย์จุนพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถูกกุมไว้เลื่อนนามบัตรไปให้เพื่อนสาวสำรวจดูใกล้ๆ

.

“ทาคาชิมะซังมาที่บ้านฉันเมื่อวาน…หลังจากที่พวกเราแข่งเสร็จ” ดวงตาสีทองพราวระยับด้วยประกายขบขัน “พวกปู่ตกใจกับข้อเสนอของทางนั้นซะจนพูดอะไรไม่ออกเลยล่ะ”

.

วาคานะเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ พลางหยิบนามบัตรแผ่นเล็กขึ้นมาอ่านก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ

.

“แล้วเอย์จังตอบเขาว่ายังไง”

.

“ฉันบอกไปว่าตอบรับข้อเสนอของทางนั้นไม่ได้” รอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้าแฝงประกายเย้ยหยันอยู่จางๆ “แต่ทาคาชิมะซังก็ยืนยันว่าอยากให้ฉันไปเยี่ยมชมการซ้อมที่เซย์โดก่อนจะให้คำตอบเธออีกครั้ง”

.

เอย์จุนหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจออกเบาๆ

.

“…ทั้งๆ ที่พยายามเต็มที่เพื่อให้มาถึงจุดนี้ได้แท้ๆ…แต่ต่อให้ฉันอยากตอบรับข้อเสนอที่ได้มามากแค่ไหน ก็ยังหนีความจริงที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ไม่พ้นนี่มันน่าเจ็บใจจริงๆ นะวาคานะ”

.

แรงบีบที่มือเพิ่มน้ำหนักมากขึ้นราวกับจะปลอบโยน

.

“เพราะเซย์โดคือที่ๆ คนๆ นั้นอยู่ใช่มั้ย…คนที่เป็นแคชเชอร์คู่หูของ ซาวามูระ เอย์จุน น่ะ”

.

“มิยูกิ คาสึยะ”

.

ดวงตาสีทองอ่อนแสงลงเล็กน้อย รอยยิ้มบางที่แต้มขึ้นบนใบหน้าขณะพูดชื่อดังกล่าวเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย วาคานะชำเลืองมองสีหน้าของคนเป็นเพื่อนสนิท ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาดในวินาทีนั้น

.

“ไปเยี่ยมชมเซย์โดกันเถอะเอย์จัง!”

.

เอย์จุนกะพริบตาช้าๆ กับคำประกาศก้องของเพื่อนสาว “วาคานะ?”

.

“คนๆ นั้นคือเหตุผลที่ทำให้เอย์จังฝึกหนักขนาดนั้นใช่มั้ยล่ะ? เพราะอยากจะเป็นพิชเชอร์ที่อีกฝ่ายยอมรับน่ะ”

.

เอย์จุนเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ

.

“มิยูกิ คาสึยะน่ะ…เป็นคนแรกที่สอนให้ฉัน…ให้ซาวามูระ เอย์จุนรู้ว่าการเป็นคู่แบตเตอรี่เป็นยังไง” คนพูดหลุบตาลงต่ำ ปกปิดประกายสั่นไหวภายในดวงตาสีทองจากการมองเห็นของคู่สนทนา “…เสียงของถุงมือที่ได้ยินในตอนนั้นยังดังก้องอยู่ในหัวของฉันอยู่เลย…”

.

เอย์จุนขยับยิ้มบาง

.

“ฉันบ้าใช่มั้ยวาคานะ…ที่ยึดติดกับ ‘ความฝัน’ มากขนาดนี้”

.

“เอย์จัง…”

.

“ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นแค่ความฝัน…” รอยยิ้มบางที่แฝงไว้ด้วยความโหยหาแต้มขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสนิท รอยยิ้มที่ทำให้วาคานะปวดหนึบในอกเมื่อสัมผัสได้ถึงความเหงาที่ซ่อนอยู่จางๆ ในรอยยิ้ม “…แต่มันก็เป็นความฝันที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้รับสิ่งที่หายไปกลับคืนมาเลยวาคานะ…”

.

ดวงตาสีทองเลื่อนขึ้นไปมองถุงมือหนังที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ถุงมือสำหรับพิชเชอร์ที่เอย์จุนร้องขอให้คนในครอบครัวซื้อให้หลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากความฝันที่สมจริงเกินกว่าจะเป็นเพียงจินตนาการ

.

…ฝันถึงเรื่องราวของซาวามูระ เอย์จุนที่ได้รับการทาบทามไปเข้าเรียนในโรงเรียนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจของทีมเบสบอลในฐานะนักเรียนทุน เรื่องราวของความพยายามเพื่อคว้าตำแหน่งเอซของทีมและการต่อสู้เพื่อคว้าชัยชนะในสนามการแข่งระดับประเทศ…

.

…ฝันถึงโลกที่ซาวามูระ เอย์จุนเกิดมาเป็นเด็กผู้ชาย…ไม่ใช่ลูกสาว

.

“เซย์โดเป็นโรงเรียนสหศึกษาก็จริง แต่ทีมเบสบอลของโรงเรียนเป็นทีมชายล้วน” เด็กสาวแค่นหัวเราะเบาๆ “อย่าว่าแต่ได้เป็นผู้เล่นตัวจริงเลย…ฉันที่เป็นผู้หญิงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าไปยืนในสนามเดียวกันด้วยซ้ำไป”

.

คำพูดกึ่งเยาะหยันกึ่งตัดพ้อจากปากของเพื่อนสนิททำให้วาคานะกัดฟันแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วยันตัวลุกขึ้นมายืนพร้อมกับฉุดอีกฝ่ายให้ลุกตามขึ้นมาแล้วประกาศเสียงหนักแน่น

.

“ถ้าแบบนั้นก็ไปแสดงให้พวกเขาดูสิ! แสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าซาวามูระ เอย์จุนเป็นพิชเชอร์ที่เก่งขนาดไหน!! แสดงฝีมือการขว้างที่ยอดเยี่ยมจนทำให้เซย์โดต้องเสียดายที่ไม่ได้ตัวเอย์จังไปร่วมทีม!!!”

.

“…วาคานะ…”

.

ไปทำให้พวกเขาเห็นว่าผู้หญิงก็เล่นเบสบอลได้ไม่ต่างจากผู้ชายกันเถอะ!”

.

ดวงตาสีทองเบิกกว้าง ก่อนจะเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา หากใบหน้านวลประดับด้วยรอยยิ้มสดใสที่เจิดจ้ายิ่งกว่าดวงตะวันใดๆ

“ขอบคุณนะวาคานะ”

.

.

.

.

.

.

.

“ซาวามูระคุง ทางนี้”

.

เจ้าของชื่อหันไปมองตามเสียงเรียกหลังจากก้าวขาออกจากประตูกั้นระหว่างสถานีกับรถไฟฟ้า ก่อนจะเดินตรงไปยังร่างสูงโปร่งของแมวมองสาวเจ้าของคำเชื้อเชิญให้มาเยี่ยมชมชมรมเบสบอลของโรงเรียนยกมือขึ้นมาโบกน้อยๆ แทนการทักทาย

.

ดวงตาด้านหลังกรอบแว่นของฉายแววประหลาดใจเล็กๆ เมื่อพบว่าเด็กที่เธอทาบทามมาเข้าเรียนด้วยตัวเองไม่ได้เดินทางมาคนเดียวอย่างที่คิดในตอนแรก

.

“อาโอสึกิ วาคานะค่ะ” เด็กสาวที่เดินตามมาด้านหลังซาวามูระโค้งตัวลงน้อยๆ “ทางครอบครัวไม่อยากให้เอย์จังเดินทางมาที่โตเกียวด้วยตัวคนเดียว เลยให้ฉันมาเป็นเพื่อนน่ะค่ะ”

.

“ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้านะทาคาชิมะซัง”

.

เรย์ขยับยิ้มบางๆ ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยหลังจากได้ฟังเหตุผลของเด็กทั้งสอง เข้าใจถึงความจำเป็นที่ทำให้ทางครอบครัวของว่าที่นักเรียนใหม่ของเธอตัดสินใจเช่นนั้น

.

“ทางฉันก็ผิดที่ลืมคิดไปว่าการจะให้เด็กม.ต้นเดินทางข้ามจังหวัดมาด้วยตัวคนเดียวจะสร้างความกังวลให้กับทางผู้ปกครอง” เธอชำเลืองมองหน้าปัดนาฬิกาก่อนจะหมุนตัวเดินนำเด็กทั้งสองคนไปยังทางออก “จากสถานีไปที่เซย์โดจะต้องเดินต่อไปอีกนิดหน่อย ฉันคิดว่าพวกเราน่าจะไปถึงก่อนที่การซ้อมในช่วงบ่ายจะเริ่มพอดี”

.

ในฐานะที่โรงเรียนมัธยมปลายเซย์โดที่เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ให้การส่งเสริมและสนับสนุนด้านกีฬาเบสบอลทำให้พื้นส่วนใหญ่ของทางโรงเรียนถูกจัดเตรียมให้เหมาะสมสำหรับการฝึก สนามเบสบอลภายในโรงเรียนที่มีถึงสองสนาม อุปกรณ์ชั้นนำที่มีพร้อมให้สมาชิกชมรมได้ใช้สำหรับเพิ่มพูนฝีมือการเล่น

.

เสียงของไม้โลหะกระทบกับลูกดังลอยมาตามสายลม ดึงความสนใจของคนทั้งสามไปยังอีกฟากของรั้วโลหะ ภาพของกลุ่มเด็กหนุ่มที่ตั้งใจฝึกซ้อมจนสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดอย่างน่าประหลาด รับรู้ได้ถึงความตั้งใจของผู้เล่นในสนามที่พร้อมทุ่มเททุกอย่างให้กับการขัดเกลาความสามารถ…การเตรียมใจและความทะเยอทะยานที่จะเล่นเบสบอลให้เก่งมากกว่าใครๆ…

.

เอย์จุนมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาสั่นไหว ภาพที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโหยหา

.

…อยากจะกลับไปเข้าไปมีส่วนร่วม…เข้าเป็นส่วนนึงของที่นี่อีกครั้ง…

.

“…นี่น่ะเหรอ…เบสบอลของเซย์โด…”

.

เสียงกระซิบแผ่วของวาคานะเรียกสติที่หวนกลับไปยังห้วงความทรงจำของความฝันที่ตราตรึงในส่วนลึกของจิตใจกลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง เอย์จุนบีบมือของเพื่อนสนิทเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้กับอีกฝ่าย

.

“เฮ้ย! พิชเชอร์ขว้างลูกขี้ขลาดแบบนั้นมันอะไรกัน!! ดูถูกฉันคนนี้กันอยู่รึไงน่ะ!? แบบนี้ก็เป็นการซ้อมไม่ได้หรอกเฟ้ย! ขว้างลูกให้มันมีชีวิตชีวามากกว่านี้สิ!!”

.

เอย์จุนหันหน้าไปทิศที่ได้ยินเสียงตะโกนดังก้องไม่ต่างจากเสียงคำราม ก่อนจะหรี่ตาลงน้อยๆ หลังจากที่ได้ยินประโยคถัดมา

.

“ถ้าไม่มีอารมณ์จะเล่นก็กลับบ้านนอกไปเลยไปไอ้โง่! พิชเชอร์อย่างแกน่ะที่นี่มีอยู่เป็นดงอยู่แล้ว!”

.

เคร้ง!

.

เสียงของลูกหนังกระทบกับไม้โลหะดังกึกก้องไปทั่วสนาม หลังจากที่ลูกขว้างของพิชเชอร์ที่อยู่บนเนินจำลองถูกส่งให้ลอยข้ามไปยังอีกฟากของสนามซ้อมจากการหวดเต็มแรงของแบตเตอร์ร่างใหญ่

.

“อาสุมะ คิโยคุนิ ตัวเก็งดราฟต์นักกีฬาอาชีพของปีนี้ นักกีฬาที่ทำสติถิ 42 โฮมรัมในระดับม.ปลายที่โรงเรียนเราภาคภูมิใจ”

.

เอย์จุนชำเลืองมองแมวมองสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ แบบที่จงใจให้คนอายุมากกว่าได้ยิน

.

“…ถ้านี่คือมาตรฐานผู้เล่นของเซย์โด…บางทีที่นี่คงไม่เหมาะกับฉันจริงๆ นั่นแหละ”

.

รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ หากสิ่งที่ทำให้แมวมองฝีมือฉกาจของเซย์โดถึงกับชะงักไปน้อยๆ กลับเป็นดวงตาสีทองทอประกายแวววาวด้วยประกายไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวที่ลุกโชนอยู่ภายใน

.

วาคานะมองท่าทางของเพื่อนสนิทก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ หากใบหน้าของเด็กสาวกลับแต้มด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่ฉายชัดถึงความเอ็นดูระคนอ่อนใจ

.

เอย์จุนสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยปากตะโกนเต็มเสียง

.

“จะไปเป็นมืออาชีพด้วยการร่างแบบนั้นเนี่ยนะ? ห้ามเอาไว้ดีกว่าน่า! พุงนั่นน่ะดูยังไงก็ลุงชัดๆ! เด็กม.ปลายที่ดูเหมือนอายุสี่สิบกว่านี่มีด้วยรึไง?”

.

“ซ ซาวามูระคุง!”

.

เอย์จุนมองร่างที่ปรี่เข้ามาหาด้วยความโมโหของอาสุมะด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งร่องรอยของความหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกแม้อีกฝ่ายจะตัวใหญ่ของตัวเองเป็นเท่าตัว

.

“หนอย! ไอ้เด็กปากดีนี่ใครกัน!?”

.

ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวในที่นั้นรีบเอาตัวเข้ามาขวางก่อนที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างเด็กทั้งสองคน

.

“ใจเย็นก่อนอาสุมะคุง… ซาวามูระคุงเองก็รีบขอโทษเร็วเข้า”

.

คำพูดของแมวมองสาวทำให้เอย์จุนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากกระตุกยิ้มบางๆ ที่ดูคล้ายจงใจเพิ่มความหงุดหงิดให้คนมองเสียมากกว่าจะช่วยบรรเทาความโกรธ

.

“สำหรับที่นี่ ผู้มีพลังจะพูดอะไรก็ไม่ผิด…ข่มเหงพวกพ้องที่ช่วยฝึกซ้อมด้วยกัน จากนั้นก็ไล่กลับบ้านนอกแบบนี้น่ะนะ…” เอย์จุนเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าอย่างไม่คิดจะหลบเลี่ยง ดวงตาสีทองทองวาวแสงคล้ายมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายใน “แค่ตัวคนเดียวน่ะเล่นเบสบอลไม่ได้หรอก… โรงเรียนที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ลืมแม้กระทั่งเรื่องสำคัญแบบนั้นไปแล้วรึไง?”

.

เรย์นิ่งค้างไปชั่วขณะกับคำพูดของเด็กที่ตัวเองเป็นคนทาบทาม ก่อนจะขยับยิ้มน้อยๆ ความรู้สึกถูกใจหลังจากที่ได้เห็นฝีมือการขว้างลูกของอีกฝ่ายในศึกที่ผ่านไปเห็นโดยบังเอิญยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้สัมผัสความกล้าได้กล้าเสียที่แสดงออกมาให้เห็นตรงหน้า

.

“ขอโทษนะอาสุมะคุง เด็กคนนี้พึ่งมาจากต่างจังหวัดเลยยังไม่รู้อะไรเลยน่ะ ถ้ายังไงช่วยแสดงการตีลูกของจริงให้เด็กคนนี้ดูหน่อยได้มั้ย” หลังจากได้รับคำตอบรับจากแบตเตอร์ปีสาม หญิงสาวก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของดวงตาสีทองสว่างที่เงียบไปหลังจากประกาศความไม่พอใจออกมาให้ทุกคนได้ยิน

.

“ซาวามูระคุง ที่นี่คือสนามเบสบอล ถ้ามีเรื่องที่อยากพูดก็แสดงให้เห็นด้วยการเล่นสิ”

.

เอย์จุนหรี่ตาลงน้อยๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงเจตนาเบื้องหลังคำพูดและการกระทำของผู้ใหญ่ตรงหน้า หากก่อนที่จะทันได้เอ่ยปากตอบ เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังก็ทำให้ร่างกายนิ่งค้างไปราวกับต้องมนต์สะกด

.

“ฮะๆ…น่าสนุกดีนะ นี่เรย์จัง ขอผมรับลูกของหมอนี่ได้มั้ย”

.

“มิยูกิคุง”

.

ชื่อที่หลุดออกจากปากของแมวมองสาวทำให้วาคานะเบิกตากว้าง ก่อนจะหันไปมองเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อที่นั่งพิงรั้วอยู่ใกล้ๆ แม้จะอยู่ในชุดฝึกที่ไม่มีเครื่องป้องกันของแคชเชอร์ เด็กหนุ่มที่ได้รับชื่นชมฝีมือจนมีการตีพิมพ์บทความประวัติการเล่นลงในนิตยสาร

.

…มิยูกิ คาสึยะ… แคชเชอร์ที่เป็นคู่หูของซาวามูระ เอย์จุนในความฝันของเพื่อนสนิทของเธอ…

.

เพื่อนสนิทที่เดินปลีกตัวออกไปเพื่อเปลี่ยนชุดที่เหมาะสมกับการเล่นเบสบอลมากกว่าฮูทตัวโคร่งที่ใส่อยู่โดยไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมามองหน้าของแคชเชอร์ที่เสนอตัวมารับลูกให้ในการแข่งขันแบบไม่เป็นทางการที่กำลังจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

.

“เอย์จัง”

.

“…วาคานะ ช่วยฉันวอร์มอัพทีนะ”

.

“อือ”

.

วาคานะเดินเข้าไปช่วยเพื่อนสนิทยืดกล้ามเนื้อพร้อมลอบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ

.

“…ตื่นเต้นเหรอ?”

.

คำถามที่เอย์จุนกะพริบตาช้าๆ ก่อนจะขยับยิ้มบางๆ

.

“นิดหน่อย”

.

ดวงตาสีทองวูบไหวด้วยอารมณ์ที่หลากหลายเกินกว่าจะระบุได้หมด หากหนึ่งในนั้นคือความตื่นเต้นที่ทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน กับความยินดีที่เอ่อล้นขึ้นมาจุกในอกเมื่อรับรู้ว่ากำลังจะได้กลับไปยืนบนเนินขว้าง…กลับไปยืนต่อหน้าคนที่ไล่ตามมาตลอดตั้งแต่รู้จักกับอีกฝ่ายผ่านความฝัน…ความทรงจำของตัวเองอีกคน

.

“นี่ไอ้หนู ถ้าจะขอโทษก็รีบทำมันจะตอนนี้ล่ะ ถ้าขึ้นไปยืนบนเนินขว้างนั่นจะไม่มีที่ให้หนีอีกแล้วนะ”

.

ถ้อยคำท้าทายที่เอย์จุนปล่อยผ่านอย่างไม่คิดจะเก็บไปใส่ใจ เมื่อความสนใจทั้งหมดถูกทุ่มไปให้กับคนในเครื่องป้องกันที่ยืนเตรียมตัวอยู่ด้านหลังโฮมเพลตที่ห่างออกไป 18 เมตร

.

ฟึบ!

.

เอย์จุนยกถุงมือหนังขึ้นมารับลูกเบสบอลที่ถูกโยนมาให้อย่างกะทันหัน ดวงตาสีทองตวัดไปมองคนใส่แว่นที่มองมาด้วยสายตาวาววับกับรอยยิ้มกว้างที่ดูไม่น่าไว้ใจ

.

“เอ้า! มาวอร์มร่างกายกันก่อนเถอะ”

.

เอย์จุนผ่อนลมหายใจก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ เริ่มทำการโยนรับส่งบอลไปมากับอีกฝ่ายเพื่อช่วยอบอุ่นร่างกายให้พร้อมสำหรับการขว้างลูกอย่างจริงจัง

.

“ลูกนั่นมันอะไรกัน? ของแบบนี้ถึงหลับตาก็ตีให้ลอยไปนอกสนามได้แล้ว”

.

แคชเชอร์ที่เสนอตัวขึ้นมารับลูกให้เด็กม.ต้นปากกล้าหัวเราะเบาๆ

.

“ถ้างั้นจะออมมือมั้ยล่ะครับ? ยังไงทางนั้นก็เป็นแค่เด็กม.ต้นนี่นา”

.

“ฉันน่ะไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เหวี่ยงไม้เต็มที่เสมอเฟ้ย!! อีกฝ่ายจะเป็นใครก็ไม่เกี่ยวซะหน่อย!!” แบตเตอร์ร่างใหญ่ตะโกนก้อง ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่ยืนรออยู่บนเนินขว้างจำลอง “มาเลยสิไอ้เด็กเวร! เดี๋ยวจะทำให้ไม่กล้าไปปากเก่งใส่ใครอีกเลยให้ดู!!”

.

คนถูกท้าทายเพียงแค่ชำเลืองตามอง ก่อนดวงตาสีทองจะเบนสายตาไปด้านข้าง ท่าทางที่ราวกับคำพูดดังกล่าวไม่มีค่าพอที่จะเก็บมาใส่ใจทำให้มิยูกิเลิกคิ้วน้อยๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจกับความสุขุมที่ไม่สมอายุของพิชเชอร์ตรงหน้า

.

ถุงมือของแคชเชอร์ขยับไปยังกึ่งกลางของสไตรค์โซน สัญญาณการเรียกลูกขว้างที่มอบให้กับคนที่ยืนอยู่บนเนินกลางสนาม ก่อนดวงตาด้านหลังแว่นตาสำหรับเล่นกีฬาจะเบิกกว้างขึ้นน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้าช้าๆ แทนการปฏิเสธที่จะขว้างไปยังตำแหน่งดังกล่าว

.

“ไทม์! ขอเวลานอกแป๊บนึงนะครับอาสุมะซัง”

.

“ห๊า? ถ้าจะนัดกันก็จัดการให้เสร็จเรียบร้อยก่อนหน้านี้สิฟะ!”

.

มิยูกิลุกขึ้นเดินไปหาพิชเชอร์ม.ต้นที่ยืนรอด้วยท่าทางสงบนิ่งคล้ายไม่แปลกใจที่มีการขอเวลานอกเกิดขึ้น

.

“นี่…ทำไมถึงส่ายหน้าล่ะ”

.

ดวงตาสีทองที่เลื่อนขึ้นมาสบเพียงชั่วครู่ ก่อนคนอายุน้อยกว่าจะหลุบตาลงต่ำ พึมพำตอบเบาๆ

.

“เพราะไม่รู้ว่าจะต้องขว้างลูกแบบไหนน่ะสิ”

.

คำตอบที่ทำให้คนฟังกระพริบตาปริบๆ

.

“ห๊ะ?”

.

เอย์จุนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคู่หูชั่วคราวในสนามของตัวเองก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง

.

“เพราะนายไม่ได้ส่งสัญญาณบอกว่าอยากให้ฉันขว้างลูกแบบไหนนี่”

.

มิยูกิเลิกคิ้วสูง มุมปากกระตุกยิ้มน้อยๆ ในขณะที่ขยับตัวเข้าไปใกล้มากพอที่จะพาดแขนข้างหนึ่งลงบนไหล่ลาดของคนตัวเล็กกว่า

.

“ถ้างั้นนายขว้างลูกแบบไหนได้บ้างล่ะ”

.

เซาท์พาวน์พิชเชอร์ในวงแขนชะงักไปน้อยๆ ปฏิกิริยาที่ทำให้มิยูกิทำใจไว้ว่าจะได้รับคำตอบทำนองลูกตรงตลอดศกจากปากของอีกฝ่าย ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายที่ตกตะลึงเสียเองหลังจากได้ยินเสียงกระซิบแผ่วของคนตัวเล็ก

.

“…ทูซีม…โฟร์ซีม…คัทเตอร์…” เอย์จุนเม้มปากแน่น ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปิดปากขึ้นอีกครั้ง “…เชนจ์อัพ…”

.

“…นายล้อฉันเล่นแล้วแน่ๆ”

.

คนอายุน้อยกว่าขมวดคิ้วพร้อมกับหรี่ตาลงน้อยๆ ก่อนจะขยับตัวออกจากวงแขนของคนใส่แว่นพร้อมกับถอยตัวออกห่าง

.

“ฉันจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน!”

.

เอย์จุนแยกเขี้ยว ทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดกับสีหน้าที่บอกชัดว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปของคนตรงหน้า ดวงตาสีทองวาวรื้นด้วยหยาดน้ำตาจากความเจ็บใจ ท่าทางที่ดูเหมือนลูกแมวที่กำลังขู่ฟ่อด้วยความไม่พอใจนั้นสร้างความเอ็นดูในสายตาคนมองได้อย่างน่าประหลาด

.

“ฮะๆ นายนี่เป็นพิชเชอร์ที่มีค่าให้ลีดอยู่นะเนี่ย!” มิยูกิหัวเราะ พร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าคนอายุน้อยกว่ามากอดคอ “ไว้ใจได้เลย! ฉันรู้นิสัยแบตเตอร์คนนั้นหมดแล้วล่ะ”

.

“…”

.

“การขว้างที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือผลงานที่พิชเชอร์กับแคชเชอร์รวมใจเป็นหนึ่งเดียวสร้างสรรค์ขึ้นมา”

.

เอย์จุนเบิกตากว้าง ร่างกายแข็งค้างไปหลังจากที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ถ้อยคำที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่เคยได้ยินในความฝัน ข้อความที่เต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้งจำได้จนขึ้นใจ

.

“รบกวนด้วยแล้วกันนะ! คู่หู!!”

.

ดวงตาสีทองยามที่มองตามร่างที่วิ่งเหยาะๆ กลับไปยังด้านหลังโฮมเพลตวูบไหวน้อยๆ ก่อนจะถูกบดบังด้วยเปลือกตาบางที่ปิดลง เอย์จุนผ่อนลมหายใจที่กักเก็บเอาไว้โดยไม่รู้ตัวออกช้าๆ พยายามควบคุมร่างกายให้หยุดสั่นหลังจากถูกจู่โจมด้วยพายุอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามาจากความทรงจำที่ถูกกระตุ้น

.

“ขอโทษที่ให้รอนะคร้าบ~”

.

“ช้าเฟ้ย!!”

.

เสียงโวยวายที่ดังมาจากแบตเตอร์บ็อกซ์ช่วยดึงสติและความสนใจให้กลับมาจดจ่อกับคู่ต่อสู้ตรงหนาอีกครั้ง เอย์จุนหมุนลูกเบสบอลในมือไปมาระหว่างรอสัญญาณจากคนที่ย่อตัวอยู่ด้านหลังโฮมเพลต

.

‘โฟร์ซีม ลูกต่ำ มุมนอกของสไตร์คโซน’

.

มิยูกิมองเซาท์พาวน์พิชเชอร์พยักหน้าตอบรับสัญญาณที่ส่งไปให้ ก่อนดวงตาด้านหลังแว่นกันลมจะเบิกกว้าง เมื่อมองไม่เห็นแขนซ้ายของพิชเชอร์ที่ถูกชักไปด้านหลัง เมื่ออีกฝ่ายใช้การจัดระเบียบร่างกายให้ถุงมือด้านขวากลายมาเป็นกำแพงที่บดบังไม่ให้สายตาของแบตเตอร์ (และแคชเชอร์) มองเห็นวิถีและตำแหน่งของมือในการปล่อยลูก

.

ฟึบ!!

.

มิยูกิสะกดความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นกลับลงไปในอก ก่อนจะชำเลืองมองแบตเตอร์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากกระตุกยิ้มบางๆ เมื่อดูเหมือนคนเป็นรุ่นพี่จะถูกการขว้างเมื่อครู่ข่มขวัญเข้าให้อย่างจัง

.

“ลูกเมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ! มองไม่เห็นแขน…”

.

“สไตร์ควันสินะครับอาสุมะซัง”

.

“เจ้าบ้า! เมื่อกี้แค่ดูลาดเลาเฉยๆ หรอกเฟ้ย!”

.

“คร้าบๆ”

.

มิยูกิย่อตัวลงอีกครั้งหลังจากส่งบอลกลับไปให้พิชเชอร์บนเนินขว้าง ดวงตาด้านหลังแว่นสายตาสำหรับเล่นกีฬาทอประกายระยับจากความตื่นเต้นที่ปกปิดไม่มิด ใบหน้าคมคายแต้มด้วยรอยยิ้มกว้างแบบที่ทำให้ใครต่อใครหวาดผวากับเล่ห์กลของเจ้าตัว

.

…ต่อไปก็…

.

‘ลูกมุมสูง ด้านใน ชิดตัวแบตเตอร์…’

.

อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะขยับตัวขึ้นเตรียมขว้างอีกครั้ง ถุงมือข้างขวาที่สร้างกำแพงบดบังสายตา กับแขนซ้ายที่สะบัดออกมาอย่างรวดเร็วจากด้านหลังราวกับแส้ที่ฟาดสะบัดคือสิ่งยืนยันว่าการขว้างก่อนหน้านั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

.

ฟึบ!!

.

“สไตร์คทู!”

.

มิยูกิฉีกยิ้มกว้าง อาการสะดุ้งน้อยๆ ของรุ่นพี่ร่างใหญ่ไม่ได้หลุดลอดไปจากสายตา วิถีลูกคมกริบที่ขว้างช้อนเฉียดขอบด้านในสุดของสไตร์คโซนดูจะสั่นประสาทของอีกฝ่ายได้ไม่มากก็น้อย

.

มิยูกิเมินเสียงฮือฮาของผู้เล่นที่มามุงดูอยู่รอบๆ หลังจากที่แบตเตอร์ปีสามที่ครองสถิติโฮมรันอันน่าทึ่งจนเตะตาแมวมองของทีมจากลีคอาชีพหวดลูกขว้างของเด็กม.ต้นติดๆ กันถึงสองลูก

.

“อาสุมะซัง ไม่ใช่ว่าโดนวิถีของลูกทำให้กลัวจนหวดไม้ไม่ออกหรอกใช่มั้ยครับ”

.

อดไม่ได้ที่จะปั่นประสาทของแบตเตอร์ตามความเคยชิน คำพูดกึ่งหยอกล้อกึ่งท้าทายที่กวนอารมณ์ของรุ่นพี่ร่างใหญ่ให้ขุ่นมัวจนสมาธิแตกซ่าน

.

“มิยูกิ! หุบปาก!!”

.

เสียงคำรามที่แคชเชอร์หนุ่มยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์แทนคำสงบศึก ก่อนจะกลับไปนั่งย่อตัวหลังโฮมเพลตพร้อมกับเบนความสนใจไปยังพิชเชอร์ที่น่าสนใจที่สุดที่เคยพบซึ่งยืนรออยู่บนเนินขว้างอีกครั้ง

.

‘คอนโทรลลูกได้อย่างดีเยี่ยม ไหนจะยังฟอร์มการขว้างนั่นอีก… ให้ตายเถอะ! คราวนี้เรย์จังจับฉลากได้รางวัลที่หนึ่งชัดๆ!!’

.

มิยูกิกลืนเสียงหัวเราะที่ผุดขึ้นมากลับลงไปในลำคออย่างยากลำบาก ใบหน้าด้านหลังหน้ากากป้องกันประดับด้วยรอยยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นยินดีอย่างเห็นได้ชัด

.

‘เอาล่ะ…ถ้าอย่างนั้นมาปิดฉากด้วยเจ้านี่กันเถอะ!’

.

สัญญาณสุดท้ายส่งไปให้คู่หูชั่วคราว…ที่มิยูกิอดไม่ได้ที่จะคาดหวังว่าจะได้กลับมาจับคู่กับอีกฝ่ายอีกครั้งในปีการศึกษาที่จะมาถึง…

.

ดวงตาสีทองใต้ปีกหมวกที่จ้องตรงมาฉายชัดถึงความมุ่งมั่น ใบหน้าอ่อนเยาว์ผงกลงน้อยๆ แทนคำตอบรับ แขนซ้ายที่ถูกดึงให้หายไปจากคลองสายตาเป็นครั้งที่สาม ก่อนที่ลูกเบสบอลจะถูกขว้างออกมาจากตำแหน่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้

.

เสียงลมที่เกิดจากการหวดไม้โลหะอย่างเต็มแรง หากเสียงที่ตามมากลับเป็นเสียงของบอลที่กระทบเข้ากับถุงมือหนัง

.

ฟึบ!

.

“สไตร์ค…แบตเตอร์เอ๊าท์”

.

ทั่วทั้งสนามปกคลุมด้วยความเงียบเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นน่าตื่นตะลึงเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นความจริง

.

มิยูกิกระตุกยิ้มก่อนจะทำลายทำลายบรรยากาศของความตึงเครียดด้วยการเอ่ยปากชมพิชเชอร์เจ้าของผลงานอันยอดเยี่ยมตรงหน้า

.

“ไนซ์บอล!”

เคร้ง!

.

เสียงไม้เบสบอลถูกปาลงกระแทกกับพื้น ก่อนแบตเตอร์ปีสามจะหมุนตัวเดินออกไปจากสนามพร้อมกับสีหน้าโกรธเกรี้ยวระคนเจ็บใจ

.

“ทำสไตร์คเอ๊าท์อาสุมะซังคนนั้นได้ในสามลูก…เด็กคนนั้นเป็นใครกันแน่!?”

.

“ลูกสุดท้ายนั่นเชนจ์อัพใช่มั้ย?! เด็กม.ต้นที่ขว้างเชนจ์อัพได้นี่มันสุดยอดเกินไปแล้ว!!”

.

“เอย์จัง!!”

.

เสียงหวานใสดังตัดขึ้นท่ามกลางเสียงฮือฮาของสมาชิกชมรมเบสบอลเซย์โดที่อยู่โดยรอบ ก่อนร่างของเซาท์พาวน์พิชเชอร์จะถูกสวมกอดโดยเด็กสาวที่มาเยี่ยมชมโรงเรียนพร้อมกันตามคำเชิญของแมวมองสาว

.

“เป็นการขว้างที่สุดยอดมาก!!”

.

คำชมที่ตรงใจหลายๆ คนในบริเวณนั้นดังออกจากปากของเด็กสาวผู้มาเยือน คำชมที่ตามมาด้วยเสียงหัวเราะใสๆ กับรอยยิ้มที่เจิดจ้ายิ่งกว่าดวงตะวันของคนที่ได้รับคำชมดังกล่าว รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เปี่ยมไปด้วยความยินดีจนสื่อผ่านมาถึงดวงตาสีทองพราวระยับเป็นประกายงดงามจับตา

.

มิยูกิมองเด็กม.ต้นที่กำลังฉลองชัยชนะด้วยกันบนเนินขว้างจำลอง ก่อนจะเปรยถามขึ้นเบาๆ หลังจากเห็นร่างของอาจารย์สาวเดินเข้ามาใกล้ผ่านทางหางตา

.

“ไปเจอไข่ทองคำใบนี้ที่ไหนมาเนี่ยเรย์จัง? พิชเชอร์ฝีมือระดับนี้ไม่น่าหลุดรอดสายตาของแมวมองจากโรงเรียนอื่นไปได้นา”

.

“นางาโนะ” แมวมองมากฝีมือประจำโรงเรียนเซย์โดตอบด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนทีมของซาวามูระคุงน่ะจะพึ่งเข้าแข่งเบสบอลเป็นปีนี้เป็นปีแรก แถมยังแพ้ตั้งแต่รอบแรกอีกด้วยน่ะนะ”

.

คำตอบที่ทำให้มิยูกิเลิกคิ้วสูง

.

“ห๊า? ฝีมือการขว้างระดับที่ทำสไตร์คเอ๊าท์อาสุมะซังคนนั้นได้ในสามลูกน่ะนะจะแพ้ตั้งแต่รอบแรก?”

.

“แคชเชอร์ของเด็กคนนั้นเป็นผู้เล่นมือใหม่แบบสุดๆ ไปเลยล่ะ แถมยังเป็นทีมที่มีผู้เล่นจำกัดขนาดที่มีเด็กผู้หญิงอยู่ในทีมด้วย ซาวามูระคุงก็คงออมพลังของตัวเองเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจเพื่อที่จะให้เพื่อนในทีมตามทันล่ะมั้ง”

.

“แล้วเรย์จังก็ยังอุตส่าห์มองออกด้วยนะว่าเด็กนั่นออมมือไว้น่ะ”

.

เรย์ส่งเสียงฮัมรับเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะเอ่ยขยายความอย่างที่รู้ดีว่าลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ คงกัดไม่ยอมปล่อยจนกว่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการจนพอใจ

.

“เพราะได้เห็นเข้าน่ะสิ…ลูกขว้างสุดท้ายของเกม…ลูกที่ซาวามูระคุงปลดปล่อยความสามารถทั้งหมดออกมาน่ะ”

.

“เห… เพราะงั้นเรย์จังถึงได้ทาบทามมาเข้าเซย์โดสินะ เพราะเห็นถึงศักยภาพที่จะพัฒนาไปเป็นพิชเชอร์ที่ยอดเยี่ยมได้” มิยูกิขยับยิ้มกว้าง เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้มากมายหากได้ตัวเซาท์พาวน์พิชเชอร์ตรงหน้ามาเข้าร่วมเป็นกำลังรบให้กับเซย์โดในอนาคต

.

ก่อนรอยยิ้มดังกล่าวจะหายไปจากใบหน้าทันทีที่ได้ยินประโยคถัดมาของอาจารย์สาว

.

“ปัญหาก็คือซาวามูระคุงปฏิเสธข้อเสนอของเซย์โดน่ะสิ”

.

“ห๊ะ?”

.

“ยืนกรานหนักแน่นเชียวล่ะว่าจะไม่ตอบรับข้อเสนอของทางเรา…เพราะงั้นฉันถึงได้เชิญให้มาเยี่ยมชมโรงเรียนเพราะหวังว่าถ้าได้มาเห็นการเล่นเบสบอลแบบจริงจังของเซย์โดแล้วอาจจะช่วยเปลี่ยนใจซาวามูระคุงได้บ้าง”

.

“เพราะงั้นก็เลยจงใจไม่ห้ามตอนที่อาสุมะซังไปหาเรื่องด้วยสินะ? เพราะรู้อยู่แล้วว่าผมไม่มีทางจะยืนดูเรื่องน่าสนุกนี่อยู่เฉยๆ จนต้องขอเข้ามาร่วมด้วยแน่ๆ …เรย์จังนี่ร้ายกาจกว่าที่คิดนะเนี่ย”

.

เรย์กระตุกยิ้มบาง หากไม่ได้ปฏิเสธข้อสังเกตดังกล่าวแต่อย่างใด

.

“แค่คิดว่าบางทีการได้จับคู่กับแคชเชอร์ที่ทำให้ขว้างได้แบบสุดความสามารถโดยไม่ต้องออมแรงเอาไว้อาจจะทำให้ซาวามูระคุงเอนเอียงมาทางเรามากขึ้นเท่านั้นล่ะ”

.

ก่อนบทสนทนาจะจบลงเมื่อพิชเชอร์ที่เป็นหัวข้อของการพูดคุยดังกล่าวเดินตรงเข้ามาใกล้

.

“ขอบคุณที่ให้โอกาสพวกเรามาเยี่ยมชมโรงเรียนนะทาคาชิมะซัง” ศีรษะของคนพูดก้มลงเล็กน้อยแสดงถึงความขอบคุณตามคำพูด

.

“ด้วยความยินดีซาวามูระคุง ฉันหวังว่าสิ่งที่ทางโรงเรียนเรานำเสนอจะมีแรงจูงใจที่มากพอให้เธอเอาข้อเสนอของทางเราไปทบทวนอีกครั้งนะ”

.

“เรื่องนั้น…” เอย์จุนเม้มปากน้อยๆ ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจออกเบาๆ “…ยังไงฉันก็ตอบรับข้อเสนอของเซย์โดไม่ได้จริงๆ”

.

“ทำไมล่ะ”

.

ดวงตาสีทองตวัดไปทางเด็กหนุ่มที่ยังอยู่ในเครื่องป้องกันของแคชเชอร์ผู้เป็นเจ้าของคำถาม ก่อนจะขยับยิ้มบางๆ

.

“…เพราะที่นี่ไม่มีที่สำหรับฉันนี่นา…”

.

“ฝีมือระดับนี้ ไม่มีทางที่เซย์โดจะไม่ต้องการหรอก!”

.

เอย์จุนแค่นหัวเราะเบาๆ กับคำทักท้วงที่ได้รับ ดวงตาสีทองที่หลุบลงต่ำหม่นแสงลงอย่างน่าใจหาย

.

“ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นเด็กผู้หญิงน่ะเหรอ?”

.

“…ผ ผู้หญิง…?”

.

เอย์จุนสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมาจ้องตรงไปด้านหน้าอย่างไม่คิดจะหลบเลี่ยงสายตาที่มองมา

.

“ขอแนะนำตัวอีกครั้งนะคะทาคาชิมะซัง… ฉันชือซาวามูระ เอย์จุน อายุ 15 ปี กัปตันของทีมเบสบอลโรงเรียนอาคากิ ตำแหน่งที่เล่นคือพิชเชอร์ …และเป็นหนึ่งในผู้เล่นหญิงอีกคนของทีมนอกเหนือไปจากวาคานะ”

.

รอยยิ้มบนใบหน้าของเซาท์พาวน์พิชเชอร์แฝงด้วยความโศกเศร้าระคนขบขัน

.

“รู้แบบนี้แล้วจะยังยืนยันข้อเสนอที่จะให้ฉันมาเข้าเรียนที่เซย์โดในฐานะนักกีฬาอยู่อีกรึเปล่าล่ะคะ…?”

.

.

.

TBC.

Posted in Daiya no Ace, Fiction

[Daiya no Ace] Haunted

Title : Haunted

Fandom : Daiya no Ace

Pairing : Misawa (Miyuki Kazuya/Sawamura Eijun)

Note : ก กลับมาแล้วค่ะ ขอโทษที่ทำให้ต้องรอกันนานขนาดนี้ และขอบคุณมากๆ ที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ ตอนนี้เป็นตอนที่เราเขียนแล้วลบเขียนแล้วลบกว่าสิบรอบ เพราะไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาได้อย่างใจ ประกอบกับเจอปัญหาไรท์เตอร์บล็อกทำให้ต้องหยุดเขียนไปยาวๆ ทั้งนี้สิ่งที่ทำให้สามารถฮึดกลับมาสู้กับเรื่องนี้ต่อได้ต้องขอบคุณเบสบอลโอลิมปิกที่จัดขึ้นในญี่ปุ่นปีนี้จริงๆ ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งที่ไม่ทิ้งกันไปนะคะ [อ่านตอนที่ 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 , 7 และ 8]

.

.

.

.

.

.

“…ฉันกับนายเราเป็นอะไรกันแน่มิยูกิ?”

.

ประโยคคำถามที่ถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หากไม่อาจกลบซ่อนความอ่อนล้าในกระแสเสียง ดวงตาสีทองที่จ้องตรงมาวูบไหว ประกายร้าวรานฉายชัดในแววตา

..

“…ระหว่างเรามันคืออะไรกันแน่…”

..

หยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาตามพวงแก้มของคนตรงหน้าอย่างไม่ขาดสาย หากกลับไร้ซึ่งเสียงสะอื้นไห้เล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน

..

“…ตอบฉันทีสิ…”

ริมฝีปากสีซีดจางกระซิบถ้อยคำที่เป็นทั้งคำถาม ทั้งคำอ้อนวาน และคำตัดพ้อ ร่างของอีกฝ่ายเลือนลางคล้ายหมอกควันเบาบาง

.

ความตื่นตระหนกที่ร่างกายตอบสนองด้วยการเอื้อมมือไปเพื่อคว้าร่างของคนตรงหน้าเข้ามาในอ้อมแขน หากร่างกายของอีกฝ่ายกลับเลือนหายไปก่อนที่ปลายนิ้วจะทันได้สัมผัสต้องตัว

..

“ซาวามูระ!!“

.

คาสึยะผวาตัวขึ้นจากเตียง สะดุ้งตื่นขึ้นในท่ายื่นมือออกไปด้านหน้าเช่นเดียวกับในความฝัน เสียงลมหายใจหอบกระชั้นและเสียงหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอกราวกับผ่านการออกกำลังอย่างหนักหน่วงดังก้องในความเงียบงันที่มีเพียงเสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศเป็นพื้นหลัง ดวงตาสีน้ำตาลไหม้วูบไหวด้วยอารมณ์ที่ตกค้างมาจากห้วงความฝัน หยาดเหงื่อเกาะพราวตามไรผมและโครงหน้า

..

…ฝัน…

..

ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมานวดเบาๆ ที่หว่างคิ้ว คาสึยะตัดสินใจหมุนตัวลุกขึ้นจากเตียง ประสบการณ์ที่มีทำให้สองขาก้าวเดินตรงไปยังห้องครัวโดยอัตโนมัติด้วยรู้ดีว่าเขาคงไม่สามารถกลับไปหลับตานอนต่อได้อีกเป็นแน่หลังจากที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาในสภาพนี้

กระปุกชาที่เบาลงเรื่อยๆ เมื่อใบชาด้านในถูกนำออกมาใช้อยู่เป็นประจำจนปริมาณด้านในเริ่มหร่อยหรอลงทีละน้อย คาสึยะแค่นหัวเราะเบาๆ หลังจากเทน้ำร้อนจากกาที่ทำการต้มน้ำไว้ล่วงหน้าราวกับรู้อนาคตว่าตัวเองจะต้องตื่นขึ้นมาชงชากลางดึก

…นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฝันถึงซาวามูระ…

….

และคาสึยะรู้ดีว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เขาฝันถึงอีกฝ่ายเช่นกัน

….

ชายหนุ่มเหยียดยิ้มบางพร้อมขยับมือแกว่งชาในถ้วยเบาๆ ให้ไอร้อนและกลิ่นหอมของใบชาโชยขึ้นมาแตะจมูก ใบชาสูตรผสมพิเศษที่ผสานกลิ่นเผ็ดร้อนของซินามอนและกลิ่นเปรี้ยวอมหวานของพืชตระกูลซิตรัสเอาไว้อย่างลงตัว เมื่อผนวกรวมกับความร้อนของไอน้ำที่ลอยขึ้นมากระทบกับใบหน้า แค่เพียงหลับตาลงก็รู้สึกราวกับกำลังถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นกายเฉพาะตัวของใครบางคนที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม

..

“นายอยู่ไหนกันนะซาวามูระ…”

..

คำถามที่เอ่ยถามซ้ำๆ มาตลอดระยะเวลาเกือบสิบปี คำถามที่รู้ดีว่าจะไม่มีวันได้การตอบรับหากก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม คำถามที่เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ซักวันจะได้รับคำตอบ

..

“…ฉันกับนาย เราเป็นอะไรกัน?”

..

รอยยิ้มขื่นๆ แต้มขึ้นบนใบหน้า คาสึยะรู้สึกเหมือนกรรมกำลังตามสนอง คำถามสุดท้ายที่คนอายุน้อยกว่าเอ่ยถามในครั้งสุดท้ายที่เจอกันยังคงดังก้องอยู่ในหู คำถามที่เขาไม่เคยให้คำตอบกับอีกฝ่าย คำถามที่ถูกทิ้งให้ค้างคามาตลอดสิบปี

..

“นายจะไม่กลับมาฟังคำตอบของฉันจริงๆ เหรอซาวามูระ…”

..

…ได้โปรด…กลับมาหาฉันที…

..

แก้วชาที่ไอความร้อนจางหายจนเหลือเพียงน้ำชาอุ่นๆ ถูกยกขึ้นจรดริมฝีปาก คาสึยะกลืนน้ำชารสฝาดที่แฝงด้วยความหวานติดปลายลิ้นจางๆ ลงในลำคอ หากยิ่งดื่มกลับยิ่งรู้สึกกระหาย เมื่อรสชาติหวานละมุนเจือรสขมจางๆ ของน้ำชานั้นกระตุ้นให้นึกถึงรสสัมผัสที่ยังคงตราตรึงอยู่บนริมฝีปากอย่างไม่จางหาย

..

“มิยูกิ”

,,

คาสึยะเม้มปากแน่น กัดฟันข่มเสียงสบถเอาไว้ในลำคอเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อกระซิบแว่วอยู่ข้างหู ภาพหลอนที่ถูกสร้างขึ้นจากความปรารถนาในห้วงลึกของจิตใจที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากได้รับสิ่งเร้าเข้าไปกระตุ้นให้ความรู้สึกโหยหายิ่งเพิ่มพูนจนเอ่อล้น

..

ความรุ่มร้อนภายในจิตใจที่ส่งผ่านออกมาส่งผลกระทบให้ร่างกายเริ่มแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวแม้จะเป็นเพียงการมองในระยะสั้นๆ จังหวะการเต้นของหัวใจที่ค่อยๆ เพิ่มความถี่มากขึ้นทีละน้อยจนส่งผลให้ลมหายใจเริ่มหอบกระชั้น รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนสมองมึนเบลอ

..

“…ชิท!”

..

คาสึยะหลุดสบถออกมาอย่างคนที่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง ชายหนุ่มเหยียดยิ้มบางพร้อมกับแค่นหัวเราะแผ่ว จัดการวางแก้วชาลงในอ่างล้างจานแล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องนอน ดวงตาสีน้ำตาลไหม้กวาดมองโต๊ะข้างเตียงอยู่เพียงชั่วขณะก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเครื่องมือสื่อสารที่ทำการชาร์จไฟทิ้งไว้ก่อนเข้านอนขึ้นมากดเลื่อนหารายชื่อที่ต้องการแล้วกดโทรออก

..

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งกับเตียง ในขณะที่หูก็คอยฟังเสียงสัญญาณตอบรับจากปลายสาย เขาใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์หยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวมก่อนจะชำเลืองมองตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ

..

03:30

..

…ตีสามครึ่ง…

..

เขาถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับเตรียมใจรับคำบ่นจากคู่สนทนาทันทีที่อีกฝ่ายรับโทรศัพท์ การติดต่ออีกฝ่ายไปในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมนัก ทว่าเรื่องที่เขาต้องการจะแจ้งให้อีกฝ่ายรับทราบก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรรอจนกระทั่งถึงเช้าเช่นกัน

..

“มีอะไร”

..

คาสึยะขยับยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดดังลอดมาจากปลายสายอย่างที่คิด ดังนั้นสิ่งแรกที่หลุดออกจากปากคือคำขอโทษอย่างจริงใจที่ส่งให้กับอีกฝ่าย

..

“ขอโทษที่โทรไปปลุกครับ แต่ผมคิดว่าโค้ชคงต้องถอดผมออกจากรายชื่อนักกีฬาตัวจริงที่จะลงแข่งในช่วงสองสามวันนี้”

..

“เกิดอะไรขึ้น?”

..

น้ำเสียงจากอีกฟากของโทรศัพท์เปลี่ยนไปเป็นจริงจังเป็นการเป็นงานในทันที

..

“รัท”

..

คาสึยะตอบสั้นๆ แต่เรียกเสียงพึมพำด้วยความเข้าใจจากคู่สนทนาได้ในทันที

..

เพราะกลไกตามธรรมชาติทำให้อัลฟ่ามีสัญชาติญาณการการแข่งขันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ที่แสดงออกอย่างรุนแรงกว่าเมื่อเทียบกับเบต้าและโอเมก้า ซึ่งส่งผลให้อัลฟ่ามีสมรรถภาพทางร่างกายที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน หากความได้เปรียบเสียเปรียบดังกล่าวนั้นสามารถชดเชยได้จากการฝึกฝนของตัวนักกีฬา สถานะภาพทางสังคมจึงไม่เคยเป็นประเด็นใดๆ

..

…จะยกเว้นก็เพียงแค่ช่วงรัทของอัลฟ่าที่ฮอร์โมนภายในร่างกายจะทำงานเพิ่มขึ้นจนความได้เปรียบเสียเปรียบทางกายภาพเห็นผลเพิ่มเป็นทวีคูณเท่านั้น ดังนั้นเพื่อความเท่าเทียมทางการแข่งขัน รวมทั้งเพื่อความปลอดภัยของเพื่อนร่วมทีม นักกีฬาที่เป็นอัลฟ่าจึงถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าร่วมการแข่งขันในระหว่างที่ร่างกายอยู่ในสภาวะรัท

..

“ขอโทษที่แจ้งแบบฉุกละหุกขนาดนี้นะครับโค้ช ทางผมเองก็ไม่คิดว่าจะเข้าสู่ช่วงรัทแบบกะทันหันโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าอะไรเลยแบบนี้เหมือนกัน”

..

“เข้าใจแล้ว ฉันจะแจ้งกับทีมให้ ขอบใจที่โทรมาแจ้งนะมิยูกิ นายก็ไปพักผ่อนเถอะ”

..

“ขอโทษอีกครั้งที่โทรไปปลุกนะครับโค้ช”

..

คาสึยะกระตุกยิ้มบางๆ พร้อมกับหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ แบบคนที่รู้ดีว่าตัวเองพึ่งโกหกคำโตใส่โค้ชประจำทีมผ่านทางโทรศัพท์

..

…ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าอะไรกัน… การที่ช่วงนี้เขาฝันถึงซาวามูระซ้ำๆ นั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกที่มากเกินพอ หากตัวเขาเองต่างหากที่เลือกที่จะปิดหูปิดตาไม่รับรู้ถึงสิ่งที่อัลฟ่าภายในตัวกำลังเรียกร้อง

..

โอเมก้าเพียงหนึ่งเดียวที่ทั้งเขาและสัญชาติญาณของอัลฟ่าในร่างกายยอมรับเป็นคู่ครอง คู่ชีวิตที่ปลงใจเอาไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้เวลาร่วมกันในช่วงฮีทของอีกฝ่าย

..

…สามปีที่เขาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าซาวามูระในทุกครั้งที่คนอายุน้อยกว่าเข้าสู่ช่วงฮีท สามปีที่ปล่อยให้สัญชาติญาณเป็นฝ่ายชี้นำทุกครั้งที่แตะต้องร่างกายของอีกฝ่ายโดยไม่เคยนึกสงสัยถึงเหตุผลของการกระทำของตัวเอง สามปีที่เขาไม่เคยรับรู้ว่ากำลังใช้สัมผัสแทนการสร้างโซ่ตรวนที่ผูกมัดซาวามูระเอาไว้ …พร้อมๆ กับผูกรั้งหัวใจของตัวเองไว้กับอีกฝ่ายไปในเวลาเดียวกัน

..

…ช่วงเวลาสามปีที่ใช้ร่วมกันนั้นมากพอที่จะเปิดรับให้เจ้าของดวงตาสีทองกระจ่างเข้ามายึดครองพื้นที่ทั้งหมดทุกห้องหัวใจ ทว่าสมองกลับไม่เคยรับรู้จนกระทั่งวินาทีที่อีกฝ่ายหายไปจากชีวิต…

..

คาสึยะถอนหายใจยาว ถอดแว่นตากลับไปวางลงบนหัวเตียงพร้อมกับโยนโทรศัพท์ในมือไปที่โต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ แล้วยันตัวลุกขึ้นอีกครั้ง ในเมื่อยังไงก็กลับไปนอนต่อไม่ได้อยู่แล้ว การได้อาบน้ำเย็นๆ คงช่วยบรรเทาความร้อนของร่างกายลงไปได้บ้าง

..

แม้ว่าละอองน้ำเย็นๆ จากฝักบัวจะช่วยลดอุณหภูมิของร่างกายลงไปได้ได้อย่างที่คิด แต่กลับดูจะไม่มีผลอะไรกับความรุ่มร้อนของเพลิงอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นจากฮอร์โมนภายในร่างกายแม้แต่น้อย ความปรารถนาที่ถูกปลดปล่อยครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าไม่อาจเติมเต็มความต้องการที่สัญชาติญาณเรียกร้องได้เลยซักนิด

..

คาสึยะถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งไปปิดน้ำ ในขณะที่มืออีกข้างก็คว้าผ้าขนหนูที่เตรียมไว้ใกล้ๆ มาเช็ดตัวให้พอหมาดก่อนจะจับผ้ามามัดไว้ที่หลวมๆ รอบสะโพก ความคิดที่จะหยิบเสื้อผ้ามาใส่ถูกโยนออกจากหัวตั้งแต่ก่อนจะก้าวเข้าไปยืนใต้ฝักบัวเมื่อกว่าหนึ่งชั่วโมงก่อน

..

ไม่มีความจำเป็นจะต้องสวมสิ่งที่ยังไงก็จะถอดออกในภายหลังอยู่ดี

..

“…เก็บไว้ตรงไหนนะ…”

..

ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะก้มตัวลงรื้อหาของภายในกล่องเก็บของที่วางอยู่ตรงชั้นล่างสุดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะส่งเสียงฮัมเบาๆ ในลำคอเมื่อเจอของที่ต้องการในที่สุด สองขาพาร่างกลับไปทิ้งตัวลงบนเตียงพร้อมกับเอื้อมมือไปควานหาเจลหล่อลื่นที่เก็บไว้ในลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียงก่อนจะชโลมเจลใส่ของในมืออีกข้างจนชุ่ม

..

เซ็กซ์ทอยสำหรับอัลฟ่าที่เขาสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษหลังจากที่รับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อซาวามูระ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคาสึยะก็พบว่าเขาไม่สามารถทำใจให้ไปกอดคนอื่นที่ไม่ใช่อีกฝ่ายได้ ต่อให้เป็นการเรียกร้องเพื่อเติมเต็มความต้องการทางกายจากสัญชาติญาณ หากทั้งสมองและหัวใจกลับเลือกที่จะปฏิเสธไออุ่นของใครคนอื่น

..

โชคดีที่อาการรัทของอัลฟ่านั้นไม่ได้ยุ่งยากในการรับมือมากเท่ากับฮีทของโอเมก้า และต่อให้คาสึยะมั่นใจในการควมคุมตัวเองมากแค่ไหน เขาก็ยังไม่อยากเสี่ยงออกไปเจอกับสิ่งกระตุ้นภายนอกอยู่ดี

..

…เพราะไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยตาลายมองเห็นโอเมก้าที่มีรูปร่างและกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับซาวามูระจนเกือบเผลอทำสิ่งที่จะต้องมานึกเสียใจภายหลังมาก่อน…

..

หากที่เขาสามารถหยุดตัวเองไว้ได้ทุกครั้งนั้นเป็นเพราะภาพของซาวามูระเมื่อครั้งที่ใช้เวลาร่วมกันเป็นครั้งแรกในช่วงฮีทของอีกฝ่ายที่ปรากฏขึ้นด้านหลังเปลือกตา

..

ดวงตาสีทองที่จ้องตรงมาอย่างไม่คิดจะหลบเลี่ยง ความกดดันเมื่อรับรู้ว่ากำลังถูกประเมินคุณค่าความคู่ควร สายตาสงบนิ่งหากเต็มไปด้วยความแน่วแน่จริงจังที่แฝงประกายท้าทายอยู่จางๆ เปลือกตาบางที่หลุบลงต่ำก่อนจะปรือเปิดขึ้นเผยให้เป็นเพลิงอารมณ์ที่ลุกโชนอยู่ภายในดวงตาสีทองสว่าง

..

คาสึยะไม่ต้องการทำผิดต่อซาวามูระอีกเป็นครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขายังไม่ได้ชดเชยความผิดพลาดของตัวเองในครั้งแรกให้กับอีกฝ่าย

..

“อึก…”

..

ความอึดอัดของร่างกายช่วงล่างค่อยๆ ลดทอนลงทีละน้อยหลังจากความปรารถนาที่ถูกฮอร์โมนของร่างกายปลุกกระตุ้นได้รับการปลดปล่อยความต้องการออกมาอีกครั้ง แน่นอนว่าสัมผัสที่ได้รับจากเซ็กซ์ทอยนั้นไม่อาจเทียบได้กับความรู้สึกในยามที่โอบกอดร่างกายอุ่นๆ คาสึยะเมินเสียงประท้วงด้วยความขัดใจของจิตวิญญาณอัลฟ่าภายร่างกาย ความขุ่นมัวที่ไม่อาจเติมเต็มความต้องการอย่างที่สัญชาติญาณเรียกร้องคือบทลงโทษที่เขาเต็มใจยอมรับ

..

ชายหนุ่มชำเลืองมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา ชั่งน้ำหนักตัวเลือกที่มีในใจก่อนจะคว้ากระดาษชำระที่เตรียมไว้ใกล้ๆ มาเช็ดทำความสะอาดคราบที่ติดตามตัว ก่อนจะนำผ้าขนหนูที่ถอดกองเอาไว้ใกล้ๆ กลับมาผูกไว้รอบสะโพกอีกครั้ง

..

คาสึยะคว้าแว่นสายตาขึ้นมาสวม ก่อนจะลุกเดินกลับไปยังห้องครัวโดยมีแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวปกปิดร่างกาย ถึงจริงๆ ตัวเขาจะไม่ได้คิดมากอะไรกับการเดินแก้ผ้าภายในบ้านของตัวเอง แต่อย่างไรเสียก็ควรนึกถึงความสะอาดเวลาทำอาหารเอาไว้อยู่บ้าง…

..

ผ้ากันเปื้อนที่แขวนเก็บเอาไว้ใกล้ๆ เคาท์เตอร์ประกอบอาหารถูกนำมาสวม กาน้ำร้อนที่เหลือแต่น้ำเย็นชืดถูกนำขึ้นมาตั้งให้น้ำเดือดบนเตาไฟอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่นกวาดกระปุกบรรจุใบชาและกาแฟที่วางอยู่เรียงรายบนชั้น มือข้างหนึ่งเอื้อมออกไปแตะกระปุกชาที่ดื่มอยู่บ่อยๆ ตามความเคยชิน ก่อนจะชะงักน้อยๆ แล้วเปลี่ยนทิศไปคว้าโหลแก้วบรรจุเมล็ดกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ มาเทใส่แก้ว

..

…อาการรัทของเขาพึ่งสงบลงได้ไม่เท่าไหร่ คงจะไม่ดีนักถ้าจะไปหาเรื่องกระตุ้นให้อาการกำเริบขึ้นอีกรอบโดยที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง…

..

หลังจากเตรียมกาแฟเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มจึงเริ่มลงมือทำอาหารเช้าอย่างกง่ายๆ ให้กับตัวเองโดยไม่ลืมคำนวนปริมาณสารอาหารที่จำเป็นตามที่นักโภชนาการประจำทีมกำหนด คาสึยะเหยียดยิ้มบาง นึกขำที่ตัวเองดันมีความรับผิดชอบในฐานะนักกีฬาของตัวเองมากพอจนไม่อาจละเลยการดูแลตัวเองให้เหมาะสมแม้กระทั่งในเวลาแบบนี้

..

จานอาหารถูกนำมาวางลงที่โต๊ะกินข้าว หากก่อนที่เขาจะได้หย่อนตัวลงนั่ง ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากในห้องนอนเสียก่อน คาสึยะถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปคว้าโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ขึ้นมากดรับโดยไม่คิดจะเหลือบตามองชื่อที่แสดงบนหน้าจอ

..

“มิยูกิครับ”

..

“คาสึยะ!!”

..

เสียงตะโกนที่ดังมาจากปลายสายทำให้เจ้าของชื่อนิ่วหน้าน้อยๆ เริ่มรู้สึกเหมือนคิดผิดที่เลือกจะกดรับสายขึ้นมานิดๆ

..

“เมย์”

..

“เจ้าบ้าคาสึยะ! ทำไมถึงต้องมาป่วยในวันที่ฉันได้ลงเป็นพิชเชอร์เปิดเกมด้วย!”

..

“นายคิดว่าฉันเลือกได้รึไงว่าตัวเองจะรัทขึ้นมาตอนไหนน่ะ”

..

“แต่ก็ไม่ควรเป็นวันที่ฉันจะได้จับคู่แบตเตอรี่กับนายแบบนี้เซ่!! วันนี้พวกเรามีแข่งล้างตากับทีมไจแอนท์แท้ๆ”

..

คาสึยะเลิกคิ้วน้อยๆ มุมปากกระตุกยิ้มบางๆ เมื่อจับได้ถึงความหงุดหงิดในน้ำเสียงของคู่สนทนาที่ปลายสาย

..

“ยังเจ็บใจที่โดนมาซาชิคุงชิงโฮมรันจากนายได้อยู่อีกเหรอ” แคชเชอร์มือหนึ่งของทีมโตเกียวยาคูลท์สวอลโลวส์โคลงหัวน้อยๆ “แต่ก็สมเป็นน้องชายคุณเท็ตสึจริงๆ นั่นแหละนะ วงสวิงสวยมากเลย ฮะๆ สีหน้านายตอนนั้นตลกเป็นบ้า”

..

“ที่ฉันโดนตีลูกนั้นได้ก็เพราะนายลีดไม่ดีต่างหาก!!”

..

“เฮ้ๆ อย่ามาโยนความผิดให้ทางนี้ฝ่ายเดียวสิ วันนั้นนายก็ส่ายหัวปฏิเสธสัญญาณของฉันเหมือนกันล่ะน่าเมย์” คาสึยะแค่นหัวเราะหึ ดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่นทอประกายแวววาวด้วยความรู้สึกขบขันกึ่งระอาใจหลังจากได้ยินคำพูดแก้ตัวของอีกฝ่าย “แต่ถ้านายยืนยันว่าที่พวกเราแพ้วันนั้นเป็นเพราะการลีดของฉันจริงๆ งั้นการแข่งวันนี้ก็ช่วยโชว์ฝีมือเอาชนะมาให้ดูหน่อยแล้วกัน คุณเอซพิชเชอร์”

..

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

..

คำตอบรับที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองทำให้คนฟังเหยียดยิ้มบาง 

..

“ทำให้ได้อย่างที่พูดล่ะเมย์ ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาคราวนี้จะกลายเป็นความผิดนายเต็มๆ แทนเลยนะ”

..

“ใครจะไปแพ้กัน!”

..

“คร้าบๆ แล้วฉันจะรอดูนะ”

..

ชายหนุ่มกดวางสาย ก่อนจะเอนตัวไปพิงผนักเก้าอี้พร้อมกับผ่อนลมหายใจออกเบาๆ ใบหน้าคมคายแต้มด้วยรอยยิ้มบางแบบที่นานๆ ครั้งจะปรากฏให้เห็น

..

“…ขอบใจนะเมย์”

..

คำพึมพำกระซิบแผ่ว ประโยคขอบคุณที่แม้จะไม่ได้เอ่ยให้คู่สนทนาได้ยิน แต่คาสึยะก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายรับรู้ได้จากสายสัมพันธ์ของมิตรภาพอันยาวนานกว่าสิบปี

..

ถึงจะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่นัก แต่คาสึยะก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมย์คือหนึ่งในเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่เขามี และเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ยังติดต่อสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ

..

…ถึงส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะเขาและอีกฝ่ายเป็นคู่แบตเตอรี่ที่เล่นให้ทีมเบสบอลอาชีพทีมเดียวกันก็ตาม…

..

มิยูกิ คาสึยะกับนารุมิยะ เมย์เป็นเพื่อนสนิทกัน ถ้าพูดเรื่องนี้ให้ตัวเขาเมื่อสมัยยังเรียนม.ปลายฟัง คงจะต้องโดนหัวเราะเยาะกลับมาเป็นแน่ จริงอยู่ที่คาสึยะรู้จักกับเมย์มาตั้งแต่สมัยม.ต้น แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาในขณะนั้นเรียกว่าเป็นศัตรูคู่แข่งที่ต่างฝ่ายต่างอยากเอาชนะกันในสนามเบสบอลเสียมากกว่า

..

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาทั้งสองต่างก็เรียนอยู่ในโรงเรียนที่เป็นคู่อริกันอย่างเชย์โด และพาณิชย์อินาชิโระด้วยยิ่งแล้วใหญ่

..

คาสึยะกะพริบตาช้าๆ เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเมย์ในปัจจุบันดูจะซ้อนทับกับความสัมพันธ์ของเขากับใครอีกอย่างน่าประหลาด

,,

คุราโมจิ โยอิจิ

..

ชายหนุ่มเจ้าของเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ช็อตสต็อปเจ้าของฝีเท้าที่ไม่เป็นสองรองใคร หนึ่งในรองกัปตันที่คอยช่วยเขาสนับสนุนในตอนที่ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งกัปตันต่อจากคุณเท็ตสึ เพื่อนคนแรกในชีวิตนักเรียนม.ปลาย ก่อนจะกลายมาเป็นผู้ชายที่คาสึยะเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นเพื่อนสนิท

..

ถึงความสนิทสนมในปัจจุบันของพวกเขาจะลดลงไปบ้างจากการเลือกทางเดินที่ต่างกัน คาสึยะที่ตอบรับคำเชิญเข้าสู่ทีมอาชีพทันทีที่เรียนจบม.ปลาย ในขณะที่คุราโมจิเลือกจะเรียนต่อในระดับมหาลัย และแม้ว่าในตอนหลังอีกฝ่ายจะก้าวเข้ามาเป็นสู่เส้นทางของนักกีฬาอาชีพ แต่เพราะทีมที่สังกัดนั้นถูกจัดอยู่กันคนละลีคทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสเจอกันบ่อยเท่ากับคนเล่นให้ทีมที่แข่งในลีคเดียวกัน นอกจากนั้นการพูดคุยกันส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มแชทของศิษย์เก่าโรงเรียนเซย์โดเสียมากกว่าจะเป็นการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว

..

บทสนทนาในห้องแชทส่วนตัวระหว่างคาสึยะและคุราโมจินั้นเกิดขึ้นน้อยจนแทบจะนับครั้งได้…

..

คาสึยะขยับนิ้วเปิดดูประวัติข้อความสนทนาของตัวเองในโทรศัพท์ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ

..

…อันที่จริงนอกจากเมย์ที่มักจะส่งข้อความส่วนตัวมาหาเขารัวๆ แล้ว คาสึยะก็คุยกับเพื่อนและคนรู้จักส่วนใหญ่คนอื่นๆ ในแชทส่วนตัวน้อยมากขนาดที่ว่านับจำนวนครั้งที่เขาสนทนาในแชทส่วนตัวของทุกคนรวมกันทุกคนด้วยมือก็ยังมีนิ้วเหลือเสียด้วยซ้ำ…

..

ปลายนิ้วกดเข้าไปดูประวัติการพูดคุยกันครั้งล่าสุดระหว่างเขากับอดีตรองกัปตันทีมเบสบอลเซย์โดก่อนจะหลุดหัวเราะเบาๆ อย่างอดไม่อยู่หลังจากที่เห็นข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าตา

..

[ตอนนี้ฉันอยากชกนายเป็นบ้า]

..

ข้อความดังกล่าวถูกส่งมาหลังจากที่ทีมของเขาคว้าชัยชนะมาจากทีมฮิโรชิม่าโทโยคาร์ป ซึ่งมีอดีตคู่หูของอีกฝ่ายอย่างโคมินาโตะ ฮารุอิจิเป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญได้ครบทั้งสามนัดที่เจอกัน

..

…จะว่าไป ข้อความก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายก็ดูจะมีใจความที่ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่

..

[ถ้าเจอกันฉันอัดนายแน่!]

..

คาสึยะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคำรามของเพื่อนสนิทดังผ่านออกมาทางตัวอักษร

..

…บางที การที่เขากับคุราโมจิไม่ค่อยได้เจอกันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีแล้วก็ได้…

..

ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะ ก่อนจะหันไปสนใจกับอาหารเช้าที่เตรียมเอาไว้ก่อนจะถูกขัดจังหวะจากสายเรียกเข้าอีกครั้ง คาสึยะขยับยิ้มเจื่อนๆ เมื่อพบว่าเสียเวลากับการคุยโทรศัพท์มากกว่าที่คิด ทำให้ทั้งอาหารและกาแฟบนโต๊ะสูญเสียไอร้อนที่ควรมีไปจนหมด เขาถอนหายใจเบาๆ พลางลงมือจัดการกับข้าวเช้าที่เริ่มเย็นชืดอย่างเงียบๆ

..

กว่าจะจัดการกับอาหาร พร้อมทั้งเก็บล้างจานชามและอุปกรณ์ทุกอย่างที่นำออกมาใช้จนสะอาดเรียบร้อยก็ล่วงเข้าสู่ช่วงสายของวัน ดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่นทรงเหลี่ยมสีเข้มชำเลืองมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังใกล้ๆ ห้องครัวก่อนจะส่งเสียงฮัมเบาๆ ในลำคอ 

..

คาสึยะถอดผ้ากันเปื้อนกลับไปแขวนเก็บตามเดิม ก่อนจะก้าวยาวๆ ลงไปทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องนั่งเล่น แมนชั่นที่เขาอาศัยอยู่ในปัจจุบันเป็นแบบ 1LDK ที่ส่วนของห้องครัวถูกแยกออกมาต่างหาก แต่รวมส่วนของห้องอาหารและห้องนั่งเล่นเข้าไว้ด้วยกัน

..

เขาหลับตาลงพร้อมกับผ่อนลมหายใจออกเบาๆ เมื่อไอเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เปิดไว้ทั่วแมนชั่นตกลงมาสัมผัสกับผิวกายเปลือยเปล่าช่วยลดทอนความร้อนที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอีกครั้งทีละน้อยตามอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน

..

คาสึยะก้มมองความปรารถนาที่เริ่มแข็งตัวชูชันขึ้นจนมองเห็นได้จากใต้ผ้าเช็ดตัวที่ผูกอยู่กับเอวอย่างหมิ่นเหม่แล้วกระดกลิ้นเบาๆ อย่างนึกขัดใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าอาการรัทของตัวเองจะปะทุกลับขึ้นมาอีกครั้งในเวลาอันสั้น เขาถึงได้ทิ้งทั้งเจลหล่อลื่น ทั้งเซ็กซ์ทอยเอาไว้ในห้องนอนโดยไม่คิดจะหยิบติดมือออกมาด้วย

..

เขาชำเลืองมองโซฟาที่เอนตัวพิงอยู่สลับกับประตูห้องนอนที่เปิดกว้าง ชั่งน้ำหนักตัวเลือกที่มีในใจก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วยันตัวลุกขึ้นอีกครั้ง …อย่างน้อยทำความสะอาดผ้าปูเตียงก็ง่ายกว่ากำจัดคราบเปื้อนบนโซฟา…

..

คาสึยะไม่ลืมที่จะคว้าของกินเล่นเล็กๆ น้อยๆ ประเภทให้พลังงานสูงและน้ำขวดที่กรอกทิ้งไว้ล่วงหน้าติดมือมาด้วยระหว่างที่เดินผ่านห้องครัวอย่างคนที่รู้ตัวดีว่า กว่าจะงัดตัวเองออกจากห้องนอนได้อีกครั้งก็คงเลยเวลาอาหารกลางวันไปแล้วแน่ๆ

..

และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้ผิดไปจากการคาดการณ์เท่าไหร่นัก เพราะกว่าเขาจะโผล่หน้าออกมาจากห้องนอนได้อีกครั้งก็เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินเป็นที่เรียบร้อย

..

หลังจากจัดการกับอาหารเย็นที่จัดเตรียมอย่างง่ายๆ คาสึยะก็หันไปสนใจกับโทรศัพท์ที่เขาวางทิ้งไว้ตั้งแต่เช้าอีกครั้ง

..

สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอคือข้อความจำนวนยาวเหยียดจากเอซพิชเชอร์ประจำทีมที่คาสึยะเพียงกวาดสายตาผ่านๆ อย่างไม่คิดจะสนใจเนื้อความด้านในมากนัก เพราะหลังจากที่รู้ว่าทีมของเขาเอาคว้าชัยชนะในนัดล้างมือกับไจแอนท์ได้เป็นผลสำเร็จ ข้อความที่เหลือก็คงจะหนีไม่พ้นคำพูดโอ้อวดฝีมือของเมย์ที่ลงเป็นพิชเชอร์เปิดสนามอีกตามเคย

..

เขาตอบกลับแชทที่ดูจะหนักซ้ายอย่างเห็นได้ชัดของเมย์ด้วยข้อความแสดงความยินดีสั้นๆ ที่สอดแทรกด้วยคำกระแซะเย้าแหย่อย่างทุกครั้งที่สนทนากับอีกฝ่าย ก่อนจะสลับหน้าจอไปส่งเมลล์ไปหาหนึ่งในผู้จัดการทีมเพื่อขอคลิปการแข่งในวันนี้สำหรับวิเคราะห์เกมการเล่นทั้งหมดในภายหลัง

..

เสียงสัญญาณบอกให้รู้ถึงข้อความใหม่ที่ได้รับทำให้คาสึยะเปิดโปรแกรมสำหรับการส่งข้อความสนทนาในโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะต้องเลิกคิ้วสูงอย่างประหลาดใจเมื่อเจ้าของข้อความที่ส่งมาไม่ใช่เมย์อย่างที่คิด แต่กลับเป็นข้อความจากเพื่อนสนิทคนสุดท้ายที่เขามีอย่างมิมะ โซอิจิโร่ 

..

[มิยูกิ นายไม่เคยไปทำโอเมก้า หรือผู้หญิงที่ไหนท้องใช่มั้ย]

..

คาสึยะรู้สึกเหมือนสมองลัดวงจรไปชั่วครู่หลังจากที่เปิดอ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาให้

..

“ห๊ะ…?”

,,

[ทีมของฉันมีแข่งกับทีมล็อตเต้มารีนที่จิบะ]

..

[แล้วบังเอิญว่าแถวโรงแรมที่ทีมของฉันจองห้องพักเอาไว้มีการแข่งเบสบอลระดับประถมอยู่พอดี]

..

[มีเด็กคนนึงหน้าเหมือนนายยังกับถอดแบบมาเลย]

..

[Souichiro sent you a photo]

..

ภาพของเด็กชายที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอโทรศัพท์นั้นมีหน้าตาเหมือนกับเขาในสมัยเด็กๆ เหมือนอย่างที่มิมะบอก หากสิ่งที่ทำให้คาสึยะหยุดหายใจไปชั่วขณะ กลับเป็นเพราะเด็กชายคนดังกล่าวมีดวงตาสีน้ำตาลทองที่คล้ายคลึงกับดวงตาของใครบางคนที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำไม่เลือนหาย

..

…ซาวามูระ…!!!

..

ปฏิกิริยาแรกหลังจากที่ตั้งสติได้คือการโทรหาเจ้าของข้อความดังกล่าว ท้ังๆ ที่ช่วงเวลาก่อนที่อีกฝ่ายจะรับสายนั้นกินเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่คาสึยะกลับรู้สึกราวกับสัญญาณต่อสายนั้นดังอยู่นานชั่วนิรันด์

..

“มิมะพูดครั—”

..

“นายเจอเด็กคนนั้นที่ไหน?!”

..

“…มิยูกิ…?”

..

“มิมะ! เด็กในรูปน่ะ นายเจอเด็กคนนั้นที่ไหน” คาสึยะเอ่ยถามย้ำเสียงสั่น หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่นที่แฝงไว้ด้วยความหวัง เมื่อคำตอบของอีกฝ่ายหมายถึงเบาะแสชิ้นแรกที่อาจจะนำเขาไปหาบุคคลที่ถวิลหาสุดหัวใจ

..

“…อย่าบอกนะว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของนายจริงๆ น่ะ”

..

คาสึยะกลืนน้ำลายเหนียวหนืดกลับลงไปในลำคอพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ ความคิดที่สับสนปนเปทำให้ลืมไปสนิทใจว่าคนที่อยู่ปลายสายไม่มีทางมองเห็นการกระทำของตัวเอง

..

“มิยูกิ?…คาสึยะ?”

..

เสียงเรียกที่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงช่วยดึงให้สติที่กระจัดกระจายไปถูกรวมกลับมาอีกครั้ง คาสึยะผ่อนลมหายใจยาวพร้อมกับยกมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์ขึ้นมาลูบใบหน้า

..

“…ไม่รู้สิ…” เขาหัวเราะเฝื่อนๆ “…แต่ตอนนี้ฉันกำลังภาวนาอย่างสุดหัวใจว่าขอให้ใช่…พร้อมกับหวังว่าแม่ของเด็กคนนั้นจะเป็นคนเดียวกับที่ฉันคิด”

..

“…ซาวามูระ” น้ำเสียงของมิมะไม่มีแววของความแปลกใจอยู่เลยแม้แต่น้อย “เด็กคนนั้นมีดวงตาเหมือนกับซาวามูระตอนที่ยืนอยู่บนเนินขว้างเลย เพราะงั้นฉันถึงได้ถ่ายรูปมาถามยืนยันกับนายนี่ล่ะ”

..

“โอเมก้าเพียงคนเดียวที่ฉันเคยนอนด้วยคือซาวามูระ” คาสึยะขยับยิ้มขมๆ “ถ้าไม่ใช่ว่าหน้าตาของเด็กคนนั้นความบังเอิญที่เหมือนกับเรื่องตลกอันร้ายกาจของเทพเจ้า…เด็กที่นายเจอก็คงเป็นลูกชายของฉันกับซาวามูระนั่นแหละ…”

Posted in Daiya no Ace, Fiction

[Daiya no Ace] National Draft

Title : National Draft

Fandom : Daiya no Ace

Pairing : Slight Misawa (Miyuki Kazuya/Sawamura Eijun)

Note : ฟิคแก้บน(?)ที่ญี่ปุ่นชนะเบสบอลโอลิมปิกค่ะ จริงๆ ก็เริ่มเขียนมาตั้งแต่แข่งจบในเดือนสิงหา แต่พึ่งขุดตัวเองมาเขียนจนจบเอาในเดือนตุลา… แต่อย่างน้อยก็ยังทันในปีแหละเนอะ

“เอาเลยมิยูกิ!!!”

“ตีให้ได้นะ!!!”

เสียงตะโกนเชียร์จากม้านั่งของนักกีฬาดังลอยมาเข้าหู คาสึยะสูดลมหายใจลึก พร้อมกับกระชับมือบนด้ามจับของไม้เบสบอลให้แน่นขึ้น บรรยายกาศภายในสนามเต็มไปด้วยความตึงเครียดทั้งความความกดดันทีแผ่ออกมาจากตัวของพิชเชอร์ของอีกทีม และความคาดหวังของเพื่อนร่วมทีมที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“วันเอ๊าท์ รันเนอร์อยู่ที่เบสสองกับเบสสาม…”

คาสึยะพึมพำแผ่วก่อนจะกระตุกยิ้มบางๆ ดวงตาใต้กรอบแว่นกันลมทอประกายวาวที่ฉายชัดถึงความมุ่งมั่น

…ถ้าตีพลาดมีหวังโดนพวกนั้นกินหัวแหงๆ…

พิชเชอร์ที่อยู่บนเนินขว้างเริ่มขยับตัวตั้งท่าเตรียมพร้อม คาสึยะปรับลมหายใจให้สงบนิ่ง ไม้ในมือถูกยกขึ้นในตำแหน่งที่พร้อมจะเหวี่ยงลงได้ทุกขณะ ความคิดจะลอบสังเกตตำแหน่งของถุงมือและการวางตัวของแคชเชอร์ด้านหลังเพื่อวิเคราะห์เดาทางลูกที่ฝั่งตรงข้ามเลือกถูกโยนทิ้งไปจากความคิด

หน้าที่ของเขาในฐานะแบทเตอร์มีแค่อย่างเดียว…

คือตีลูกตรงหน้าให้ได้เท่านั้น!

เคร้ง!!!!

.

.

.

.

.

“ทีมชาติ?”

คาสึยะชะงักมือที่กำลังเช็ดทำความสะอาดถุงมือประจำตัวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของคำพูดดังกล่าวตาปริบๆ ความสับสนฉายชัดในสีหน้าแบบที่ทำให้คนมองหัวเราะหึออกมาอย่างอดไม่อยู่

“ฉันพึ่งวางสายจากโค้ชอินาบะเมื่อกี้ ส่วนจดหมายเรียกตัวอย่างเป็นทางการคงจะตามมาอีกที”

“…ห๊ะ…?”

ผู้จัดการทีมส่ายหัวพลางส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าของแคชเชอร์มือหนึ่งประจำทีมของตัวเอง

“จดหมายเรียกตัวเธอไปรับตำแหน่งแคชเชอร์ของทีมเบสบอลทีมชาติญี่ปุ่นในการแข่งขันโอลิมปิกที่จะถึงนี้ไงล่ะมิยูกิคุง”

“…โอลิมปิก…”

ดวงตาสีน้ำตาลกรอบแว่นเบิกกว้าง คาสึยะรู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าในสมองลัดวงจรไปชั่วขณะ ในฐานะนักกีฬาแล้ว การได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของประเทศไปเข้าร่วมในการแข่งขันโอลิมปิกนับว่าเป็นความฝันสูงสุดของอาชีพ กว่าจะตั้งสติรวบรวมความคิดกลับมาได้ก็หลังจากที่ต้องนั่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่พักใหญ่ๆ

“…แล้วทางทีมจะทำยังไงกับการแข่งขันของลีคล่ะครับ?” คาสึยะถามผู้จัดการทีมอย่างช้าๆ ถึงการทำเพื่อชาติจะสำคัญ แต่คาสึยะเองก็มีความรับผิดชอบต่อทีมที่เซ็นต์สัญญาในฐานะแคชเชอร์ของทีมด้วยเช่นกัน

“ทางลีคตกลงกันว่าจะหยุดการแข่งขันไปก่อนจนกว่าโอลิมปิกจะจบลงน่ะ”

คาสึยะพยักหน้าน้อยๆ เข้าใจถึงเหตุผลที่ทำให้ทางสมาพันธ์ตัดสินใจดังกล่าว

“นอกจากผมแล้วมีใครในทีมโดนเรียกตัวไปอีกมั้ยครับ”

“ก็มีนารุมิยะคุงกับฮงโกคุงน่ะ”

คาสึยะรู้สึกเหมือนหางตากระตุกน้อยๆ หลังจากได้ยินชื่อของพิชเชอร์ในทีมทั้งสองคน ปฏิกิริยาที่ดูจะไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของคู่สนทนา สังเกตได้จากประกายขบขันในแววตากับรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของอีกฝ่าย

“เสียใจด้วยนะมิยูกิคุง ดูท่าเธอคงจะหนีจอมเอาแต่ใจสองคนนั้นไม่พ้นแล้วล่ะ”

คำปลอบใจกลั้วเสียงหัวเราะทำให้คาสึยะถอนหายใจเบาๆ อย่างนึกปลงในชะตากรรมของตัวเอง “หวังว่าพิชเชอร์ที่ถูกเลือกจากทีมอื่นๆ จะไม่รับมือยากเท่าสองคนนี้ก็พอแล้วล่ะครับ”

“เท่าที่ได้ยินมาก็มีซานาดะของไทเกอร์ส กับอามาฮิสะของไลออนส์ด้วย”

“…เหอะๆ…มีแต่พวกเอาแต่ใจเลยนะครับ”

คำเปรยอุบอิบที่คนฟังเพียงขยับยิ้มขำๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาตบเบาๆ ลงบนไหล่

“เพราะงั้นถึงต้องการตัวเธอไปรับมือกับจอมเอาแต่ใจประจำเนินขว้างพวกนั้นไงล่ะมิยูกิคุง”

คาสึยะไม่แน่ใจนักว่าควรรู้สึกยินดีหรือเสียใจที่โค้ชอินาบะตัดสินใจเลือกเขาไปเป็นแคชเชอร์ของทีมชาติด้วยเหตุผลดังกล่าว ชายหนุ่มหลับตาลงพลางนึกทบทวนไล่เลียงรายชื่อของพิชเชอร์ที่ถูกรับเลือกแต่ละคนในหัวอีกครั้งอย่างช้าๆ ก่อนหัวคิ้วจะมุ่นเข้าหากันน้อยๆ เมื่อรับรู้ถึงชื่อของใครบางคนที่ขาดหายไปจากการพูดถึง

“แล้วซาวามูระล่ะครับ? หมอนั่นไม่ถูกเรียกตัวด้วยเหรอ?”

“ซาวามูระของซอฟท์แบ๊งค์ฮอว์คส์น่ะนะ?

“ครับ”

“อืม… ยังไม่ได้ยินเรื่องนี้น่ะนะ อาจจะยังติดต่อไปไม่ครบทุกทีมก็ได้”

คาสึยะพยักหน้าตอบรับคำตอบจากคนเป็นผู้จัดการทีมของตัวเอง การคัดเลือกรายชื่อนักกีฬาที่จะดึงเข้าไปร่วมทีมชาติคงถูกทำการติดต่อไปยังทีมเบสบอลอาชีพในลีคญี่ปุ่นทีละทีม มีความเป็นไปได้สูงจะยังทำการติดต่อไปไม่ครบ

มิยูกิ คาสึยะ!’

เสียงตะโกนที่แว่วขึ้นในหัวทำให้คาสึยะขยับยิ้มน้อยๆ เมื่อความทรงจำเมื่อครั้งสมัยยังเรียนมัธยมปลายหวนกลับขึ้นมาในห้วงความคิด

…ไม่ได้จับคู่แบตเตอร์รี่กับหมอนั่นมานานแค่ไหนแล้วนะ…

คาสึยะตอบรับคำเชิญของไจแอนท์สทันทีที่เรียนจบม.ปลายในขณะที่เซาท์พาวน์พิชเชอร์รุ่นน้องเลือกที่จะเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยและลงแข่งในฐานะของนักกีฬามหาลัยจนกระทั่งเรียนจบก่อนจะตอบรับคำเชิญเข้าสู่วงการนักกีฬาอาชีพ

((คาสึยะรู้อยู่เต็มอกว่าโอกาสที่ทีมไจแอนท์สจะส่งคำเชิญไปให้กับซาวามูระที่มีสไตล์การขว้างลูกที่คล้ายกับเมย์ที่เป็นเอซของทีมนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่เขาก็ยังอดคาดหวังไม่ได้ว่าเจ้าของดวงตาสีทองคู่นั้นจะไล่ตามเขามาเหมือนเมื่อครั้งยังอยู่เซย์โด

ข่าวการตอบรับคำเชิญของซาวามูระไปเป็นพิชเชอร์ให้กับซอฟท์แบ๊งค์ฮอว์คส์จึงทำให้คาสึยะรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆ ที่จะไม่ได้กลับมาจับคู่แบตเตอรี่กับคนอายุน้อยกว่าอีกครั้ง))

ผู้จัดการประจำทีมโยมิอุริ ไจแอนท์สมองดวงตาด้านหลังกรอบแว่นที่อ่อนแสงลงน้อยๆ กับรอยยิ้มบางแต้มขึ้นบนใบหน้าของแคชเชอร์ประจำทีมก่อนจะลอบส่ายหัวอย่างอ่อนใจ

…สงสัยว่าการซื้อขายตัวนักกีฬาของฤดูกาลหน้าคงจำเป็นจะต้องดึงตัวซาวามูระมาเข้าทีมให้ได้เสียจริงๆ แล้วล่ะมั้ง…

.

.

.

.

.

สัมผัสของบอลที่ลอยมากระทบกับไม้ในมือนั้นหนักหน่วงเมื่อยิ่งกว่าที่เคยรู้สึก คาสึยะกัดฟันก่อนจะออกแรงเหวี่ยงไม้เต็มแรง

เคร้ง!!!

แรงปะทะที่ส่งให้บอลลอยข้ามหัวเฟิร์สเบสแมนก่อนจะตกลงในพื้นที่ซึ่งจเอาท์ฟีลด์เดอร์ที่ขยับเข้ามาใกล้เพื่อระวังลูกกระดอนปล่อยโล่งไว้โดยไร้ซึ่งการป้องกัน

คาสึยะโยนไม้ในมือทิ้งก่อนจะขยับตัวออกวิ่งพร้อมกับเสียงตะโกนด้วยความดีใจดังออกมาจากม้านั่งของผู้เล่นทีมชาติญี่ปุ่น

…เพราะนั่นมากพอที่จะส่งรันเนอร์ที่เบสสามวิ่งกลับโฮมเพื่อทำแต้มขึ้นนำ…ซึ่งหมายถึงคะแนนที่ตัดสินให้ทีมชาติญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะในอินนิ่งไทด์เบรกของเกมการแข่งในวันนี้

“ชนะแล้ว!!!”

“บ้าเอ๊ย! คิดจะขโมยซีนกระทั่งในเวลาแบบนี้เลยรึไง! นายนี่โคตรน่าหมั่นไส้เลยมิยูกิ!!!”

หากเสียงตะโกนของเพื่อนร่วมทีมที่วิ่งเข้ามาในสนามกลับไม่อาจดึงดูดความสนใจได้มากเท่ากับเสียงเรียกจากปากของเพื่อนร่วมทีมที่ก้าวออกมาจากม้านั่งเป็นคนสุดท้าย

“มิยูกิ คาสึยะ”

ในวินาทีนั้น คาสึยะไม่แน่ใจนัก… ว่าความร้อนที่ฉาบขึ้นบนใบหน้า กับจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอกนั้นเกิดขึ้นจากความตื่นเต้นยินดีจากชัยชนะที่พึ่งคว้ามาไว้ในกำมือ…หรือเกิดจากคำชื่นชมที่มาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสยิ่งกว่าดวงตะวันที่อีกฝ่ายส่งมาให้กันแน่

“ไนซ์แบทติ้ง…กัปตัน”

.

.

.

.

.

“สตาร์ทติ้งพิชเชอร์ของรอบชิง…ฝากด้วยล่ะซาวามูระ”

น้ำเสียงหนักแน่นของโค้ชอินาบะดังก้องไปทั่วห้องประชุมกลยุทธ์ คำพูดที่ทำให้ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังเซาท์พาวน์พิชเชอร์ที่ได้รับความไว้วางใจให้ช่วยป้องกันคะแนนของทีมชาติญี่ปุ่นในการแข่งนัดประวัติศาสตร์ตั้งแต่ต้นเกม

“ครับ”

เสียงตอบรับที่หนักแน่น จริงจังไม่แพ้กันของเจ้าของชื่อทำให้คนฟังขยับยิ้มบาง

“ผมจะพยายามให้ดีที่สุด…เพราะงั้น…” ซาวามูระกวาดมองไปยังเพื่อนร่วมทีมที่ยืนอยู่โดยรอบ ดวงตาสีทองทอประกายวาว ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ของเด็กหนุ่มที่พึ่งเข้าผ่านสู่วัยผู้ใหญ่แต้มไว้ด้วยรอยยิ้มสดใสเปี่ยมด้วยความมั่นใจอย่างที่คนมองอดที่จะยิ้มตามไม่ได้

“ฝากป้องกันด้านหลังให้ด้วยนะครับ”

.

.

.

.

.

เสียงของลูกเบสบอลกระทบกับถุงมือหนังดังกึกก้องไปทั่วสนาม ความแรงและความเร็วของลูกนั้นมากพอที่จะทำให้เห็นควันลอยขึ้นมาบางเบาของความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเสียดสี

“สไตร์ค!!”

คาสึยะยิ้มกริ่มอยู่เบื้องหลังหน้ากากป้องกันหลังจากชำเลืองมองปฏิกิริยาของแบตเตอร์จากทีมอเมริกา แคชเชอร์หนุ่มขยับตัวลุกขึ้นเพื่อโยนลูกกลับไปให้กับคนที่อยู่บนเนินขว้างเต็มแรง

‘ไนส์พิช!’

ข้อความที่ถูกส่งไปพร้อมกับการขว้างนั้นดูจะสื่อผ่านไปถึงพิชเชอร์ที่ยืนห่างออกไป 18.44 เมตรได้เป็นอย่างดีเมื่อดวงตาสีทองที่จ้องกลับมาทอประกายเจิดจ้าไม่แพ้รอยยิ้มที่แต้มขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่าย

คาสึยะย่อตัวกลับไปเตรียมพร้อมสำหรับลูกขว้างถัดไปอีกครั้ง ขยับมือซ้ายส่งสัญญาณร้องขอลูกขว้างที่ต้องการจากคู่แบตเตอรี่ ก่อนจะกระตุกยิ้มบางเมื่ออีกฝ่ายขยับศีรษะน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับ

ซาวามูระเริ่มตั้งท่าขว้างด้วยการยกขาข้างหนึ่งขึ้นสูง ก่อนจะกระทืบเท้าย่ำลงมาบนเนินขว้างพร้อมกับจัดระเบียบร่างกายให้ถุงมือและลำตัวเป็นเสมือนกำแพง ซุกซ่อนแขนซ้ายตวัดเหวี่ยงออกมาจากเบื้องหลังจากสายตาของแบตเตอร์จนทำให้ไม่สามารถจับจังหวะของการขว้างได้จนกระทั่งลูกบอลลอยหลุดออกจากมือ

คาสึยะฉีกยิ้มกว้าง พยายามอย่างเต็มที่ในการกลั้นเสียงหัวเราะหลังจากได้ยินเสียงหลุดสบถเบาๆ จากแบตเตอร์ของทีมคู่แข่ง

…ถึงจะได้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ฟอร์มการขว้างของซาวามูระยังคงน่าทึ่งเสมอ…

สัมผัสหนักหน่วงของลูกหนังที่กระแทกเข้ามาในถุงมือพร้อมๆ มาพร้อมเพรียงกับเสียงขานคำตัดสินจากกรรมการที่ยืนอยู่เบื้องหลัง

“สไตร์ค!! แบทเตอร์เอ๊าท์!!”

…ให้ตาย…

การรับลูกให้ซาวามูระนี่มันรู้สึกดีจนชวนให้เสพติดจริงๆ นั่นแหละ!

.

.

.

.

.

“ทูเอ้าท์!!”

เสียงตะโกนจากฟีลเดอร์ดังขึ้นจากรอบสนาม เช่นเดียวกับเสียงเชียร์จากม้านั่ง คาสึยะมองลอดแว่นกันลมไปยังคนที่ยืนสูดลมหายใจลึกอยู่บนเนินขว้าง ก่อนจะตัดสินใจหันไปขอเวลานอกกับกรรมการด้านหลังเป็นภาษาอังกฤษติดสำเนียงแปร่งแบบคนไม่ใช่เจ้าของภาษา

“ไทม์”

คาสึยะวิ่งเหยาะๆ ไปยังกลางสนามหลังจากได้รับคำอนุญาต พร้อมๆ กับยกมือขึ้นโบกปัดเบาๆ เป็นเชิงบอกให้ฟีลเดอร์ยืนประจำที่

“ซาวามูระ”

เจ้าของชื่อหันมามองตามเสียงเรียก ดวงตาสีทองทอประกายวาวแสงออกมาจากใต้เงาของหมวกเบสบอล

“เอ้าท์สุดท้ายแล้วซาวามูระ”

คาสึยะเคาะมือข้างที่สวมถุงมือลงกับอกของพิชเชอร์คู่แบตเตอรี่ก่อนจะนิ่งค้างอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวนานพอที่จะให้สิ่งที่ต้องการจะสื่อส่งผ่านไปถึงอีกฝ่าย

‘ฉันเชื่อใจนาย’

การกระทำที่ทำให้ซาวามูระนิ่งค้างไปชั่วครู่ ก่อนอีกฝ่ายจะกะพริบตาช้าๆ คล้ายคนที่พึ่งหลุดจากภวังค์ความคิด

“…เพราะการขว้างลูกคือ “ผลงาน” ที่พิชเชอร์กับแคชเชอร์รวมใจกันสรรสร้างขึ้นมา…”

เสียงพึมพำกระซิบข้อความที่ชวนให้ละลึกถึงอดีตเมื่อครั้งเป็นเพื่อนร่วมทีมสมัยมัธยมปลายดังลอยเข้ามาให้ได้ยิน

ข้อความที่ทำให้คาสึยะเป็นฝ่ายตะลึงจนนิ่งค้างราวกับโดนสะกด

ก่อนร่างกายจะรู้สึกอุ่นวาบเมื่อเจ้าของคำพูดดังกล่าวส่งรอยยิ้มบางหากสดใสยิ่งกว่าดวงตะวันมาให้

“ขอบคุณที่มาร่วมสร้าง “ผลงาน” ด้วยกันกับผมอีกครั้งนะมิยูกิเซมไป”

คาสึยะเคาะถุงมือลงกับแผ่นอกของคนอายุอ่อนกว่าเบาๆ แทนคำตอบรับ ก่อนจะหมุนตัววิ่งกลับไปยังด้านหลังโฮมเพลทเพื่อเตรียมตัวก่อนการแข่งขันจะดำเนินต่อ

ประโยคสั้นๆ หากเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายทำให้ใบหน้าด้านหลังหน้ากากของแคชเชอร์ร้อนผ่าว คาสึยะนึกขอบคุณที่ตัวเองยังสมหน้ากากของแคชเชอร์เอาไว้ ไม่เช่นนั้นคงได้หลุดแสดงความรู้สึกที่เพียรกักเก็บเอาไว้ออกไปสีหน้าให้อีกฝ่ายได้รับรู้จนหมดเป็นแน่

คาสึยะหลับตาพร้อมกับสูดลมหายใจลึกเพื่อตั้งสติกับเกมตรงหน้า ดวงตาด้านหลังแว่นสายตาสำหรับเล่นกีฬาจ้องตรงไปยังพิชเชอร์ที่ยืนรอสัญญาณอยู่บนเนินขว้าง ก่อนจะขยับยิ้มบาง พร้อมกับอ้าแขนทั้งสองข้างออกกว้าง

สัญญาณที่เรียกรอยยิ้มกว้างขึ้นบนใบหน้าของคนที่ยืนห่างออกไป 60 ฟุตกับอีก 6 นิ้ว

ซาวามูระขยับตั้งท่าเริ่มต้นการขว้าง และก่อนที่ใครจะทันตั้งตัว แขนซ้ายที่ถูกซ่อนด้านหลังร่างกายและถุงมือของพิชเชอร์ก็ถูกเหวี่ยงมาทางด้านหน้า

…ตามมาด้วยเสียงดังก้องของลูกเบสบอลที่ลอยกระทบเข้ากับถุงมือของแคชเชอร์ด้านหลังโฮมเพลทในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา…

“สไตร์ค!!”

คาสึยะลุกยืนพร้อมกับเหวี่ยงหน้ากากทิ้ง ร่างกายที่ขยับไปไวกว่าความคิดวิ่งตรงไปยังใจกลางสนามเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ในทันทีที่เสียงขานคำตัดสินของกรรมการดังขึ้น

“Game won by Japan! The winner for the Olympic 2021 is Japan!!!”

Posted in Dr.Stone, Fiction

[DCST] Caught (III)

DCST fiction : Caught

Pairing : Ishigami Senku*Asagiri Gen

Co-written with @PoizeanBerry

Previous : I , II

 

 

“เซ็นคูจัง…?”

เก็นเดินตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างว่าง่าย ยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะขัดขืนลงจนหมดสิ้น

…เอาเถอะ ก็คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว…

“นี่…ถ้าจะฆ่ากันก็ขอแบบไม่ทรมานมากนะ~ ฉันเป็นพวกไม่ชอบการเจ็บตัวน่ะเซ็นคูจัง” เอ่ยคำพูดหยอกล้อไม่จริงจังอะไรเพื่อไม่ให้เกิดความเงียบที่น่าอึดอัด

“ถ้าเป็นไปได้ก็ยังอยากตายแบบศพสวยๆ ล่ะน้า~”

“ถ้าฉันอยากจะฆ่าจริงๆ คงไม่ช่วยรักษาแผล แล้วก็ปล่อยให้แกตายไปตั้งแต่ถูกแม็กม่าแทงด้วยหอกครั้งนั้นไปแล้ว”

เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ทั้งที่ยังก้าวเท้าพาอีกฝ่ายเดินตามหลังมาเรื่อยๆ กระทั่งคิดว่าไกลจากตัวหมู่บ้านมากพอแล้วจึงหยุดลงที่ริมฝั่งลำธาร

เซ็นคูหันกลับมา เข้าเรื่องแทบจะทันที

“คราวนี้จะได้คุยแบบไม่ต้องหนีหน้ากันไปไหนสักที”

เก็นมองใบหน้าจริงจังของอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจยาว

“ไม่ได้หนีหน้าซักหน่อย ฉันแค่…เว้นระยะห่างออกมาเฉยๆ” อมยิ้มบางพลางโคลงหัวน้อยๆ “จะได้ไม่อึดอัดใจกันทั้งสองฝ่ายไง”

“ลดระยะให้ความสัมพันธ์ของคนอื่น ส่วนตัวเองก็สร้างกำแพงขึ้นมาใหม่จาก 0 ..เนี่ยเหรอสิ่งที่เมนทัลลิสอย่างแกชอบทำกัน”

เซ็นคูเลิกคิ้ว ยกมือล้วงขอบกระเป๋าเสื้อตัวเอง

“ฉันอึดอัดมากกว่าเดิมอีก เจ้าโง่นี่”

เก็นกะพริบตาช้าๆ ท่าทางเหมือนคนไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่นัก

“…เอ๋…?”

รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ติดจะออกหวานกว่าผู้ชายทั่วไปเล็กน้อย

“งั้นควรให้ฉันหลบหน้าจริงๆ ไปเลยซักพักมั้ยเซ็นคูจัง”

ในหัวของเก็นไม่มีความคิดที่จะเข้าข้างตัวเองอยู่เลยแม้แต่น้อย หรือพูดให้ถูกคือทุกครั้งที่เห็นเศษเสี้ยวแห่งความหวัง ศักดิ์ศรีในใจก็ทำการเหยียบย่ำดับแสงดังกล่าวให้หายไปอย่างรวดเร็วพอๆ กับที่ปรากฏ

“พูดเท่านี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ.. การตีความหมายจากประโยคของคู่สนทนาคืองานของแกไม่ใช่รึไง”

เซ็นคูว่าพลางยกมือขึ้นดัดคอตัวเอง เขาก็เริ่มจะกรุ่นๆ ขึ้นมาแล้วเหมือนกัน.. แต่ถ้าขืนไม่ใจเย็นเอาไว้ก่อน กว่าจะต้อนเจ้าค้างคาวนี่ให้ยอมหลุดปากออกมาได้คงยากน่าดู ตอนนี้เส้นสติของชายหนุ่มจึงมั่นคงอย่างที่สุด

“ในฐานะผู้นำหมู่บ้านตอนนี้ ฉันไม่อนุญาตให้แกหนี..” เขาพูด นัยน์ตาสีแดงทับทิมฉายความเผด็จการ เอาจริง

“จนกว่าจะตอบมาตรงๆ ว่าทำไมต้องเว้นระยะห่างกับฉัน”

เก็นถอนหายใจยาว ขยับหมุนมือที่ซุกอยู่ใต้แขนเสื้อไปมาเพื่อดับความกระวนกระวายใจ “ฉันขอเวลาปรับตัวอีกซักพักเท่านั้นล่ะเซ็นคูจัง…” ขยับยิ้มเจื่อนเมื่อคำตอบที่ไม่ตรงกับคำถามของตัวเองดูจะทำให้อีกฝ่ายยิ่งแผ่รังสีของความไม่สบอารมณ์ออกมามากขึ้น

“ก็ถ้าไม่เว้นระยะออกมาตอนนี้ ฉันกลัวว่าจะตัดใจจากเซ็นคูจังไม่ได้น่ะสิ”

เก็นเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคู่สนทนาตรงๆ

“ให้เวลาฉันทำใจอีกหน่อยก็พอ”

“ไม่ต้องตัดอะไรทั้งนั้น เก็น”

เซ็นคูดูออกในทันทีว่าคำพูดทั้งหมดคราวนี้ของนักอ่านใจตรงหน้านั้นไม่ได้ไร้น้ำหนักหรือเสแสร้งอะไรเหมือนที่ผ่านมาบางครา.. หากไม่รีบคว้าโอกาสตอนนี้เอาไว้ เห็นทีเจ้าค้างคาวจะบินหนีหายออกไปเช่นเดิมอีกครั้ง

เซ็นคูยกมือขึ้นกอดอก

“…เพราะฉันชอบแก”

“และจะคบกับแกด้วย”

เขาเอ่ยออกมาตรงๆ เช่นนั้น..

คำพูดตรงๆ ที่ทำให้คนฟังนิ่งค้างไปราวกับร่างกายถูกทำให้กลายเป็นหินไปอีกครั้ง ความคิดทั้งหมดขาวโพลน เมื่อสมองดูเหมือนจะหยุดทำงานไปอย่างกะทันหัน …เนิ่นนานนัก กว่าเก็นจะกลับมาควบคุมร่างกายให้ส่งเสียงตอบรับกลับไปได้…

ทว่าก็เป็นเพียงคำอุทานแผ่วเบาสั้นๆ เพียงคำเดียวเท่านั้น

“…เอ๊ะ…?”

เก็นกะพริบตาช้าๆ สองสามครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาช้าๆ คล้ายคนพยายามเรียกสติไปพร้อมๆ กับปฏิเสธในสิ่งที่พึ่งได้ยิน

“ฉันว่า…ฉันน่าจะเริ่มอาการหนักแล้วล่ะ” ดวงตาสีเงินตวัดมองไปทางซ้ายทีขวาทีไม่มีหยุดบ่งบอกถึงความสับสนของเจ้าตัว “ถึงขนาดหูแว่วได้ยินเซ็นคูจังบอกว่า…ชอ—.”

ประโยคท้ายเสียงค่อยแผ่วลงจนหายไปในลำคอ ก่อนผิวขาวแบบคนไม่ค่อยถูกแดดค่อยๆ แดงขึ้นทีละน้อยเมื่อดูเหมือนสมองจะเริ่มกลับมาทำงานและประมวลผลทุกอย่างอีกครั้ง

“ชอบ…” เขาต่อให้ “แกไม่ได้หูแว่วหรอก เจ้าบ้านี่”

แม้เซ็นคูจะยังแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายระคนขบขันดังเช่นในยามปกติ แต่ถ้าหากสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่าใบหูด้านหลังของเขาขึ้นสีแดงจางๆ

เรื่องแบบนี้ให้พูดกันตรงๆ ใครบ้างจะไม่อาย..

“คราวนี้ก็เลิกตีโพยตีพายแล้วคุยกับฉันสักที งานไม่เดินแบบนี้มันลำบากนะ เจ้าเมนทัลลิสนี่”

ใบหน้าของคนฟังร้อนเห่อจนแทบจะเห็นไอควันลอยขึ้นมาในอากาศ ผิวขาวขึ้นสีแดงจัดราวกับมะเขือเทศที่กำลังสุกงอม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความร้อนภายในร่างกายหรือเพราะกำลังช็อกจากสิ่งที่ได้ยินถึงทำให้ร่างของเก็นเซน้อยๆ อย่างคนทรงตัวไม่อยู่ และคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะต้นไม้ใหญ่ที่ช่วยพยุงน้ำหนักตัวที่ยืนต้นตระหง่านอยู่ด้านหลังเข้าพอดี

“ล ล้อกันเล่นแบบนี้ไม่โอเคนะเซ็นคูจัง” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นอย่างชัดเจน ทั้งที่หัวใจกำลังเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นปะปนไปกับความยินดีที่เอ่อล้น หากส่วนนึงของสมองยังคงปฏิเสธที่จะเชื่อในสิ่งที่พึ่งได้ยิน

กระนั้น…

น้ำหนักและความจริงจังของสายตาที่จ้องมองมานั้นก็ทำให้รู้สึกขัดเขินจนต้องยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดใบหน้าจากการมองเห็นของอีกฝ่าย

“เซ็นคูจัง…ม ไม่…ไม่ได้โกหกกันใช่มั้ย” กระซิบถามเสียงแผ่ว “ไม่ได้โกหกจริงๆ นะ” ประโยคหลังเต็มไปด้วยความหวังที่แฝงกระแสเว้าวอนเอาไว้อย่างชัดเจน

เผลอยื่นมือไปช่วยแตะประคองไหล่คนที่กำลังเซล้มตรงหน้าโดยอัตโนมัติ พลันเมื่อร่างกายสัมผัสอีกฝ่ายก็คล้ายมีกระแสไฟฟ้าประหลาดส่งต่อทำให้เซ็นคูต้องชักมือกลับมา.. ใบหน้าเขาร้อนวูบวาบ.. นี่น่ะหรือ อาการที่เรียกว่าสปาร์ค?

“ฉันไม่ได้โกหกเป็นงานประจำแบบแกซะหน่อย.. ที่พูดไปก็ต้องเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว” ชายหนุ่มบึนปากขึ้น “แต่เพราะแกทำตัวมีระยะห่างอยู่แบบนี้ มันเลยหาโอกาสที่จะพูดออกไปได้ยากต่างหาก”

เก็นค่อยๆ ลงแขนเสื้อที่ปิดหน้าลงช้าๆ ทว่าก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่ายอยู่ดี

“เหมือนกับกำลังฝันอยู่เลย…” ใบหน้าสวยคมคลี่ยิ้มบางๆ หากเต็มไปด้วยความอ่อนหวานแบบที่ไม่เคยมีใครได้เห็น ดวงตาสีเงินอ่อนแสง ทอประกายละมุน “…ดีใจจัง…”

มือที่เอื้อมออกไปคว้าจับชายเสื้อของอีกฝ่ายสั่นน้อยๆ รวบรวมความกล้าทั้งหมดช้อนสายตาขึ้นมองก่อนจะเอ่ยปาก

…อ้อน…

“พูดแล้วห้ามคืนคำนะเซ็นคูจัง”

“…”

ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังยกขึ้นมาเอาไว้ที่ปลายคางมนของอีกฝ่าย นัยน์ตาสีทับทิมสั่นไหวยามได้ยินเสียงหวานนุ่มออดอ้อนของเก็นที่รู้สึกได้ว่าออกมาจากใจ ไม่ใช่การแสดง

“…เฮ่อ—“

เซ็นคูถอนหายใจ เอนหน้าลงไปซบกับไหล่บางของคนตรงหน้า

เกือบแล้ว.. เมื่อกี้นี้เหมือนเกือบจะเผลอจูบ

“อา ไม่คืนคำอยู่แล้วหมื่นล้านเปอร์เซนต์” เขายิ้มขัน

“หึหึ ก็แกเล่นไม่ให้แอร์ไทม์ฉันได้ตอบโต้เลยนี่นา.. คราวนี้อยากจะต้มยำทำแกงอะไรก็เชิญ”

พาดแขนทั้งสองข้างไว้เหนือเอวอีกฝ่ายแทนที่ยึด

คนที่ตกอยู่ในวงล้อมกลายๆ นิ่งไปเล็กน้อยกับคำอนุญาติที่ได้รับ เก็นเม้มปากเข้าหากันแน่น  ก่อนจะยกแขนออกแรงดันที่ไหล่ของคนอายุน้อยกว่าไม่กี่ปีเบาๆ ให้ถอยห่างออกเล็กน้อย มือที่เอื้อมไปจับประคองที่ข้างใบหน้าของเซ็นคูสั่นด้วยความประหม่า

“เซ็นคูจังบอกแล้วนะว่าทำอะไรก็ได้”

สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ มอบสัมผัสแผ่วเบาราวกับขนนกลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย

“…”

คนโดนขโมยจูบนิ่งค้างไปราวถูกสาป

ยามกลีบปากเล็กแตะสัมผัสลงมา ลมหายใจของเซ็นคูสะดุดห้วง.. รสชาติอ่อนนุ่มและกลิ่นหวานหอมอบอวลของเก็นอยู่ใกล้แค่เอื้อม ใกล้จนคล้ายจะได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย

เซ็นคูโอบรัดร่างเพรียวบางในอ้อมแขนให้แนบชิดขึ้น ก่อนจะก้าวขาข้างหนึ่งเพื่อรั้งอีกฝ่ายให้ถอยไปติดกับต้นไม้ พร้อมบดริมฝีปากคืนแนบแน่นอย่างไม่ยอมแพ้

ใบหน้าคมสันขึ้นสีแดงผ่าวที่เหนือผิวแก้ม.. เปลี่ยนจูบบางเบาราวปุยนุ่นให้ร้อนระอุด้วยแรงรักมหาศาล

เก็นเบิกตากว้างเมื่อสัมผัสที่บดเบียดลงมาบนริมฝีปากเพิ่มความหนักหน่วงขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว จูบของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความปรารถนาร้อนแรงราวกับเปลวไฟที่โหมลุกเสียจนแทบจะมอดไหม้ จูบที่ราวกับจะสูบดึงเอาเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีไปจนหมดสิ้น

สองมือที่เคยจับประคองที่ใบหน้าคมเข้มค่อยเลื่อนลงมาเกาะกุมบ่ากว้างเอาไว้เพื่อช่วยยึดเหนี่ยวไม่ให้ร่างกายทรุดลงไปจากขาที่เริ่มสั่น

“อือ…”

หลุดเสียงครางหวานออกมาอย่างเผลอไผลเมื่อสติเริ่มมัวเมาหลงเคลิ้บเคลิ้มไปกับสัมผัสที่อีกฝ่ายบรรจงมอบให้

เซ็นคูรุกจูบคืนเสียจนกดให้คนตัวสูงกว่าอ่อนแรงแทบลงไปกองกับพื้นต้นไม้.. เขารั้งข้อมือของเก็นให้ขึ้นมาเกาะต้นคอตนเอง ก่อนค่อยๆ แทรกปลายลิ้นดุนดันเข้าไปในโพรงปากหวานอย่างละโมบ

“..ฮืม”

เขาส่งเสียงครวญในลำคอเบาๆ มืออีกข้างก็ไต่ลงไปโอบเอวเพรียวให้ชิดกาย ตวัดปลายลิ้นต่อไม่ให้พักหายใจ

ความแนบชิดที่มากจนรับรู้ได้ถึงความรุ่มร้อนที่แผ่ออกมาผ่านทางร่างกาย มือที่ถูกรั้งขึ้นไปเกาะต้นคอกอดกระชับแน่น ดึงรั้งศีรษะของอีกฝ่ายเข้าใกล้เพื่อที่จะได้ส่งมอบสัมผัสหนักหน่วงหากหวานล้ำได้มากยิ่งขึ้น

“ซ เซ็นคูจัง…”

เก็นไม่ใช่คนไม่ประสาในความรักจนถึงขนาดไม่เคยจูบกับใครมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับจูบที่ให้สมองกลายเป็นสีขาวโพลนจนสติเตลิดไปกับความต้องการทางกายที่ยิ่งพุ่งสูง

พอถอนจูบออกมาจากกัน เซ็นคูจึงพึ่งได้มีเวลามาเรียบเรียงความคิดในสมองของตนเองเพื่อจะพูดอะไรบางอย่างตอบ.. เมื่อครู่เขาถูกรสชาติของเก็นหลอมละลาย

“ไม่คิดว่าจะข้ามมาจูบกันเลยแบบนี้.. ไม่เบาเลยนะเจ้าเมนทัลลิส” หัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะยกมือหยาบที่มักเสียเวลาไปกับการทำการทดลองขึ้นมาเกลี่ยเช็ดผิวแก้มเนียนให้อย่างเอาใจใส่

“ขอโทษด้วยที่ทำให้เข้าใจผิด…” เซ็นคูพูด “ที่ไม่ตอบรับตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพราะเกลียดแก แต่ฉันแค่ยังไม่เข้าใจความรู้สึกตอนนั้นสักเท่าไหร่”

แค่หวั่นไหวเพราะคำสารภาพ หรือชอบจริงๆ วินาทีนั้นเขาแยกไม่ออกสักมิลลิเมตร..

“แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว.. ฉันชอบแก อาซากิริ เก็น”

“…ต่อให้มาบอกตอนนี้ว่าเปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้วล่ะเซ็นคูจัง” เก็นขยับยิ้มหวานที่ดูเต็มไปด้วยแผนการร้าย ดวงตาที่จ้องมาทอประกายวิบวับที่ลดทอนความเจ้าเล่ห์ลงไปว่าครึ่งเมื่อใบหน้าของเจ้าตัวยังคงระบายด้วยสีแดงเรื่อ ยกมือขึ้นมาจับมือของอีกฝ่ายที่แนบอยู่ข้างแก้มแล้วหันไปกดจูบเบาๆ ที่ฝ่ามือหยาบกร้าน “อุตส่าห์ได้ของหายากอย่างหัวใจของเจ้าแห่งวิทยาศาตร์มาครอบครองแล้วทั้งที ฉันไม่ยอมให้เอากลับคืนไปง่ายๆ หรอก”

“ไม่อย่างนั้นก็เสียชื่อของเมนทัลลิสอัจฉริยะอย่างอาซากิริ เก็นคนนี้หมดน่ะสิ จริงมั้ย”

“อย่าอ่อยให้มันมากนัก..” โดนขโมยทั้งจูบที่ปากและมือติดๆ กันในเวลาเดียวแบบนี้ ถึงจะเป็นเซ็นคูเองก็ตั้งรับไม่ทันเหมือนกัน

เขาเป็นคนขวานผ่าซากไม่ใช่คนโรแมนติกที่มีคำพูดอะไรสวยหรูหรือชวนให้ใจพองโตอย่างนักจิตวิทยาแบบเก็น แต่ถ้าเป็นเรื่องการกระทำ.. เซ็นคูคิดว่าตัวเองไม่แพ้ใคร

เลื่อนมือที่ลูบแก้มอีกฝ่ายไปหยิกเบาๆ ที่ปลายจมูกรั้น เคลื่อนริมฝีปากเข้าไปใกล้ทำเหมือนจะขโมยจูบอีกรอบแล้วเปลี่ยนเป้าหมายเป็นซุกข้างลำคออีกฝ่ายแทน

“เห็นแบบนี้ฉันก็ไม่ใช่คนมีความอดทนนักหรอกนะ”

ลมหายใจของคนตัวสูงกว่าสะดุดห้วง ร่างกายสั่นน้อยๆ ขนอ่อนลุกชันหลังต้องลมหายใจร้อนที่เป่ารดลงมาที่ต้นคอ

“ถ้างั้นก็ไม่ต้องทนสิ” พึมพำกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู เก็นเอียงศีรษะน้อยๆ การกระทำที่ไม่ต่างจากการแสดงความจำนนให้อย่างยินยอมพร้อมใจ

“…”

เซ็นคูเม้มปากสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้เผลอกัดคออีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว.. เขาฝังหน้าลงกับซอกคอขาว ถูไถเบาๆ ให้พอย้อมใจ

ชายหนุ่มระบายลมหายใจร้อนออกมาด้วยความเสียดาย เขาปัดริมฝีปากผ่านแก้มขาวใสเบาๆ แล้วจึงเอ่ยเสียงกระซิบ

“ตรงนี้ไม่ได้… กลับไปทำงานก่อน”

“…บางทีฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกนับถือ หรือหงุดหงิดกับความทุ่มเทให้กับวิทยาศาสตร์ของเซ็นคูจังดี…”

เก็นพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ พลางพึมพำแสดงความขัดใจ

…คอยดูเถอะ อย่างให้ถึงตาของฉันบ้างก็แล้วกัน…

ยืนรอให้อีกฝ่ายขยับตัวห่างออกไป ก่อนจะยกมือขึ้นมาจัดเสื้อผ้าให้กลับมาเรียบร้อย

“แกโกรธเหรอ?”

มองดูท่าทางขัดใจของอีกฝ่ายแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามไปตรงๆ ตอนที่เก็นกำลังสวมชุดอยู่เขาก็ขยับเข้าไปกอดหลวมๆ 

“ตอนนี้ฉันห่วงแค่พวกเจ้าโครมจะสงสัยเอา…” เขากระซิบพลางยกยิ้ม

“อุตส่าห์ได้คบกันแล้ว ยังมีเวลาทำด้วยกันอีกหมื่นล้านเท่านี่นา”

หัวใจเต้นผิดจังหวะไปทันทีที่สมองประมวลผลคำพูดของอีกฝ่ายเสร็จสิ้น เก็นกัดริมฝีปากเพื่อกลั้นไม่ให้หลุดยิ้มพลางยกมือขึ้นตีแขนที่กอดตัวเองอยู่เบาๆ แล้วบ่นหงุงหงิง

“ทำเป็นอ้างโน่นอ้างนี่… กลัวหรือไงเซ็นคูจัง”

พออีกฝ่ายจัดการเสื้อผ้าเรียบร้อยเซ็นคูก็รั้งกอดให้เข้ามาแนบชิดกว่าเก่า แนบใบหน้าลงกับลาดไหล่ของอีกฝ่ายไม่ห่างออกมาแม้แต่มิลลิเมตรเดียว

“ฉันไม่เคยกลัวอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว.. แต่แค่ตอนนี้ยังไม่ได้”

ถึงแกจะน่ารักมากก็เถอะ.. เขาคิดต่อในใจ

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายบนใบหน้าหล่อเหลาหลังจากขบคิดอะไรบางอย่างออก

“หรือว่าท่าทางแบบนั้น.. แกกำลังเขินอยู่เหรอ เก็น?”

“ใครจะไปเขินกับคำพูดแค่นั้นกัน  อย่ามาดูถูกกันสิ” ปากว่าทั้งๆ ที่ใบหน้าระบายด้วยสีระเรื่อ

เก็นเอนตัวพิงน้ำหนักบางส่วนไปที่แผ่นอกที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง สองมือยกขึ้นมาวางซ้อน ดึงท่อนแขนที่โอบกอดตนเองอยู่ให้กระชับแน่นหนามากขึ้น

“ฉันน่ะเป็นคนเห็นแก่ตัวรู้มั้ยเซ็นคูจัง”

…เห็นแก่ตัวมากขนาดที่อยากจะยึดครองนายเอาไว้คนเดียว…

“อาณาจักรวิทยาศาสตร์กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมตัวรับมือกับทั้งฤดูหนาว แล้วก็สงครามกับอาณาจักรของสึคาสะจัง…”

…เพราะงั้น…

“ตอนที่เดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน เวลาของเซ็นคูจังก็ไม่ใช่ของฉันคนเดียวแล้ว”

เซ็นคูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา คิดไตร่ตรองความรู้สึกของอีกฝ่ายแล้วก็เกิดเข้าใจขึ้นมา แต่ทุกอย่างก็ยังควรมองตามความสมเหตุสมผล

“เข้าใจล่ะ.. แต่ช่วยรออีกสักนิด ตอนนี้ทุกคนกำลังตั้งใจอยู่ นี่ก็เพื่อตัวแกเองด้วย”

ถ้าสึคาสะเกิดชนะขึ้นมาอีก.. เขาไม่รู้ว่าจนถึงตอนนั้นเก็นจะยังอยู่ที่อาณาจักรวิทยาศาสตร์ด้วยกันต่อรึเปล่า

วินาทีนี้จึงต้องพยายามให้ถึงที่สุด

เซ็นคูเกยคางลงกับไหล่คนตัวสูงกว่า ซุกไปมาหวังคลายความตึงเครียดให้คนในอ้อมแขนก่อนจะกระซิบเบาๆ

“แล้วคืนนี้ฉันจะเป็นของแกแค่คนเดียวเลย เก็น”

“เซ็นคูจังพูดเองนะ” หัวเราะเบาๆ รู้สึกได้ถึงร่างกายที่เริ่มผ่อนคลายลงเพียงแค่ได้ยินคำสัญญาที่ซ่อนไว้ด้วยความหมายลุ่มลึก

“…ไม่ใช่แค่คืนนี้…แต่ฉันขอโลภมากยึดเวลาของเซ็นคูจังทุกคืนหลังจากนี้ไว้ได้รึเปล่า?”

คำร้องขอเอาแต่ใจที่ไม่ได้จริงจังกับมันนัก

เก็นตีเบาๆ ที่ท่อนแขนที่โอบกอดตนเองเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายผ่อนแรงลง เดินช้าๆ ออกจากอ้อมกอดอบอุ่นก่อนจะหันมาส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้

“กลับกันเถอะ เดี๋ยวโครมจังจะสงสัยเอาไม่ใช่เหรอ~”

ถึงจะโดนตีที่แขนแต่ก็ยังไม่อยากปล่อยออกตอนนี้.. เขายังรัดตัวเมนทัลลิสหนุ่มเอาไว้ไม่ปล่อย พร่ำกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

“ได้แน่นอน.. จะให้แกทั้งหมดจนกว่าจะครบหมื่นล้านปีเลย”

จะไม่ยอมให้กลับหรือหนีไปไหนแน่..

ว่าจบก็ค่อยๆ ผละออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มลงกลางหน้าผากมนเพื่อหยอกล้อ “..งั้นก็ไปกัน”

อารมณ์ตอนเดินเข้ามาและเดินกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว

เก็นยกมือขึ้นมาลูบเบาๆ ที่หน้าผากในบริเวณที่นิ้วอีกฝ่ายสัมผัส ประโยคตอบรับเมื่อครู่ดังวนซ้ำๆ อยู่ในหัว

ดวงตาสีเงินทอดมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายแล้วอมยิ้มบางๆ

“…ผิดสัญญาจะต้องกลืนเข็มพันเล่ม~” ฮัมเพลงกระซิบเป็นทำนองอันคุ้นเคยในลำคอ ก่อนจะเดินตามคนอายุน้อยกว่าไปอย่างอารมณ์ดี

 

 

 

 

Next Stage : Breathless

 

A/N : เป็นพาร์ทที่เขียนกันไปกรี๊ดกันไปตลอดเวลาค่ะ ทั้งเราทั้งคุณอุ้ยเลย กว่าจะจบถึงตรงนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอนโดนจิกขาดไปกี่ใบแล้ว ฮาา ถือว่าเป็นการจบ phase 1 นะคะ จะมีต่อมั้ยนั้น ให้ติดตามข่าวจากคุณอุ้ยได้เลยนะคะ ❤️

Posted in Dr.Stone, Fiction

[DCST] Caught (II)

DCST fiction : Caught

Pairing : Ishigami Senku*Asagiri Gen

Co-written with @PoizeanBerry

Previous : I

 

 

เช้าวันต่อมา เซ็นคูไม่เจอเก็นที่แล็ปหรือลานกว้างหน้าอาณาจักรวิทยาศาสตร์ เขาจึงใช้เวลาทั้งเช้าในการมองหาอีกฝ่าย กระทั่งคิดได้ว่ามีที่หนึ่งยังไม่ได้สำรวจจึงมุ่งตรงไปยังจุดนั้น

ชายหนุ่มปีนขึ้นบันไดไม้ไผ่ของหอดูดาวที่คนในหมู่บ้านช่วยกันสร้างให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อคืนก่อน ได้ยินเสียงโครมตะโกนแซวมาว่าเห่อของใหม่แว่วๆ แต่เขาไม่สนใจ.. ตอนนี้เป็นห่วงเจ้าเมนทัลลิสตัวแสบนั่นมากกว่า

บ้าจังนะ ทั้งที่เมื่อคืนพึ่งจะกล่าวอะไรที่ไม่ชัดเจนไปทำเอาอึดอัดกันทั้งคู่.. ทำแบบนี้เหมือนเขากำลังให้ความหวังอีกฝ่ายเลย

เฮ้ เก็น.. อยู่ไหม?”

ส่งเสียงเข้าไปในห้องทั้งที่ยังปีนขึ้นไปไม่ทันสุดดี

เซ็นคูจัง?”

หากเสียงตอบรับของคนที่กำลังตามหากลับดังขึ้นจากด้านหลัง เก็นมองแผ่นหลังของคนเป็นหัวหน้าของอาณาจักรวิทยาศาสตร์อย่างนึกสงสัยว่าอะไรทำให้อีกฝ่ายคิดมาตามหาเขาที่หอดูดาว

แต่พอจำได้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรเอาไว้ก่อนเหตุการณ์นั้นเมื่อคืน สีหน้าของเก็นก็ซีดลงน้อยๆ

เซ็นคูจัง นี่มันวันปีใหม่นะ!! คิดจะเปิดโรงงานนรกกันตั้งแต่ต้นปีเลยเร้อ!!!”

คนที่อยู่ตรงนี้คือ อาซากิริ เก็น นักมายากลผู้ใช้จิตวิทยาอันปลิ้นปล้อนแห่งอาณาจักรวิทยาศาสตร์

ไม่หลงเหลือร่องรอยอะไรที่บ่งบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

ท่าทางพลิกโผราวเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ความฝันทำเอาเซ็นคูแทบปรับอารมณ์ไม่ทัน.. เขายกมือขึ้นขยี้โคนผมที่ท้ายทอยตัวเองแล้วมุ่นคิ้วมองคนที่โหวกเหวก

คนอื่นเขาก็ทำงานกันอยู่นี่นา…” ชายหนุ่มเลิกคิ้วแล้วมัวมาทำอะไรอยู่บนนี้?”

มาเตรียมอุปกรณ์สำหรับการแสดงมายากลไงล่ะ

เก็นขยับยิ้มกว้าง พลางชูช่อดอกไม้ที่ถูกร้อยเรียงเป็นมงกุฎอย่างปรานีตสวยงามในมือขึ้น

เซ็นคูจังว่าพวกสาวๆ ในหมู่บ้านจะชอบมงกุฎดอกไม้มั้ย? ตอนแรกฉันก็ว่าจะทำเป็นแหวนหรอกน้า เพราะมันเปลืองดอกไม้น้อยกว่า แต่พอมาคิดดูแล้วมงกุฎดอกไม้มันดูน่าตื่นตาตื่นใจกว่าเนอะ

เรื่องอะไรจะยอมรับล่ะว่าคิดจะแอบอู้งานน่ะ

คิ้วกระตุกนิดหน่อยหลังได้รับคำตอบ

เขาวุ่นตามหาอีกฝ่ายตลอดเช้า เพื่อจะมาพบว่าคนตรงหน้ากำลังเก็บดอกไม้มาร้อยเล่นอยู่เนี่ยนะ.. แถมด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อเก็นพูดถึงผู้หญิงในหมู่บ้านมันก็ทำเอาเซ็นคูหงุดหงิดขึ้นสมอง แต่เพราะอะไรเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

และนั่นแหละที่ทำให้น่าหงุดหงิด..

เหรอจะมีการแสดงด้วยงั้นสินะเขาย่างสามขุมตรงเข้าไปหาร่างของเมนทัลลิสที่นั่งอยู่ แม้ริมฝีปากจะคลี่ยิ้มแต่สายตาไม่ยิ้มด้วยเลย

มีเวลานั่งทำมงกุฎดอกไม้ แต่ไม่ลงไปเจอหน้าใครเลย แกนี่มันสมกับเป็นค้างคาวจริงๆ

ก็น้า~” เก็นโคลงหัวน้อยๆ คล้ายจะไม่รับรู้ถึงรังสีมาคุที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาเลยแม้แต่น้อยปีใหม่ทั้งที ถ้าไม่มีกิจกรรมสนุกๆ ซะบ้างก็ไม่สมกับที่เป็นเทศกาลพิเศษน่ะสิ

ขยับตัวลุกขึ้นจากที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คนที่กำลังแยกเขี้ยวอย่างหงุดหงิดแล้ววางมงกุฎดอกไม้ชิ้นล่าสุดที่พึ่งทำเสร็จลงบนศีรษะอีกฝ่าย

อันนี้ฉันให้กวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจเข้ากับเซ็นคูจังดีนะ

เก็นยกมือที่อยู่ภายใต้ชายแขนเสื้อคลุมตัวยาวขึ้นมาปิดปากพร้อมกับหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี

เซ็นคูไม่ได้สนใจสิ่งที่สวมลงมาบนหัวสักนิด ดวงตาสีทับทิมยังคงหรี่มองคนหัวเราะคิกคักตรงหน้า

พอใจแล้วรึยัง?” เขายืนนิ่ง ถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนถามว่าอีกฝ่ายกินข้าวแล้วรึยัง

เก็นเอียงคอน้อยๆ กะพริบตาปริบๆ อย่างนึกสงสัยเกิดอะไรขึ้นรึเปล่าเซ็นคูจัง?”

ก็ดูออกหรอกว่าอีกฝ่ายอารมณ์ขุ่นง่ายกว่าทุกที ความคิดที่ทำให้เก็นส่งรอยยิ้มหวานไปให้เป็นการประจบเอาใจ

ฉันไม่อู้งานแล้วก็ได้ เพราะงั้นก็เลิกอารมณ์เสียได้แล้วเนอะ

ทุกประโยคทุกถ้อยคำในบทสนทนาเช้านี้ถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงระรื่นหู หากไม่มีประโยคใดที่ไม่ถูกฉาบไว้ด้วยความฉาบฉวย ห่างเหินอย่างที่ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความจริงใจ

ราวกับคนพูดมีกระจกใสที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาล้อมอยู่รอบกายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดย่างกรายเข้ามาใกล้

ยิ่งทวีความหงุดหงิดเขาไปอีกเมื่ออีกฝ่ายดันดูออกและรู้ว่าเขาอารมณ์เสียอยู่.. เซ็นคูถอนหายใจ เริ่มคิดว่านี่ไม่ใช่ตัวเองเอาเสียเลย จึงตั้งสติจัดระเบียบอารมณ์ตัวเองใหม่

ลงมาทานข้าว เสร็จแล้วก็ทำงานต่อด้วย…”

เขาถอดมงกุฎดอกไม้บนหัวออกไปสวมให้อีกฝ่ายตื่นมาไม่เจอแกแล้วฉันเป็นห่วง

ว่าจบก็หันหลังเตรียมบันไดลงมาจากหอดูดาว

รับทราบ~”

แม้จะส่งเสียงตอบรับ หากเก็นก็ยังยืนนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวเดินตามอีกฝ่ายแต่อย่างใด

นิ่งรอจนกระทั่งมั่นใจว่าแผ่นหลังของนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะหายจากคลองสายตาอย่างแท้จริงแล้ว รอยยิ้มรื่นเริงจึงค่อยหายจากใบหน้า

ไม่เป็นไร… 

เก็นถอนหายใจแผ่ว

หน้ากากในคราวนี้ยังติดดี ตั้งสติไว้ ฝังทุกอย่างลงไปซะ

ในตอนที่ลืมตาขึ้นมา หน้ากากที่ชื่อว่าอาซากิริ เก็นก็ถูกสวมติดอย่างแน่นหนาบนใบหน้าอีกครั้ง

ดังนั้นคนที่ไต่ลงจากบันไดของหอดูดาว จึงเป็นเพียงเมนทัลลิสแห่งอาณาจักรวิทยาศาสตร์

พอตามอีกฝ่ายลงมาจากหอดูดาวได้ เซ็นคูก็จัดแจงสั่งงานให้เก็นแทบจะทันทีแล้วเดินปลีกออกมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเสริมอีก

ส่วนตัวเขาเองก็ทำงานอยู่เช่นเดิมเรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน งานที่ยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิมทำให้เขาแทบไม่มีเวลาพักทั้งกายและสมอง ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งดีที่ทำให้หัวไม่โล่งมากพอจะคิดอะไรเรื่อยเปื่อย.. มือหยิบจับนู่นนี่ ปากก็สั่งการตลอดเวลา

กระทั่งถึงช่วงเวลาพักเขาจึงได้เดินตรงไปยังซุ้มราเม็งที่ทำทิ้งไว้จนกลายเป็นห้องครัวย่อมๆ ควานหาน้ำดื่มขึ้นมาซดดับกระหาย..

โอซึคาเระเซ็นคูจังกระบอกน้ำเย็นๆ ถูกส่งมาให้ถึงมือ หากเพียงแค่กระพริบตา เจ้าของเสียงดังกล่าวก็ขยับตัวออกห่างไปเป็นที่เรียบร้อย

ร่างในเสื้อคลุมบุขนสัตว์หนาขยับเดินไปมาทั่วซุ้มอาหารเพื่อแจกจ่ายน้ำให้กับกลุ่มคนที่เข้ามาพักเติมพลัง โดยมีเครื่องประดับที่ทำจากดอกไม้เพิ่มเติมขึ้นมาทุกครั้งที่เดินผ่านกลุ่มเด็กๆ และผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นมาคล้ายเป็นบริการพิเศษ

หากไม่นับบทสนทนาที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ประโยคดังกล่าวก็เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เก็นมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มผู้มีอำนาจมากสุดในหมู่บ้าน

อ่า..”

มือยื่นไปรับน้ำดื่มมาจากอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ แม้จะได้ดื่มแล้วแต่เขาก็ยังไม่ไปไหน ยืนพักพิงอยู่แถวๆ ซุ้มและดื่มน้ำอยู่ที่เดิมโดยลอบสังเกตท่าทางของชายหนุ่มข้างกายไปด้วย

เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดเต็มขมับ เดิมทีก็เป็นคนใช้แรงไม่เก่งอยู่แล้ว นานๆ ทีจะได้พักเช่นนี้จึงต้องขอตักตวง

ดื่มไหมเจ้าค้างคาว

ยื่นกระบอกน้ำไปทางคนข้างๆ

โฮ่คิดจะให้ฉันจูบทางอ้อมกับนายงั้นเหรอเซ็นคูจังเก็นยกชายแขนเสื้อขึ้นมาป้องปากหัวเราะโฮะๆๆ อย่างน่าหมั่นไส้แบบที่ชวนให้คนฟังหนังตากระตุก

มุกนี้เอาไปใช้กับพวกสาวๆ ในหมู่บ้านน่าจะเหมาะกว่าฉันนะ

อดไม่ได้ที่จะขำหึออกมาทีหนึ่งเบาๆ

ถ้าฉันจะจูบแกจริงๆ ก็ไม่ต้องหามุกอ้อมค้อมให้เสียเวลาหรอก

เขย่ากระบอกน้ำในมืออีกครั้ง ส่งสัญญาณซ้ำสอง

คำพูดที่ทำให้คนฟังชะงักค้าง สีหน้าแข็งเกร็งขึ้นชั่วแว๊บหนึ่ง หากก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วด้วยเวลาเพียงกะพริบตา

ไม่โรแมนติกเอาซะเลยนะ เซ็นคูจังเนี่ยแสร้งถอนหายใจก่อนจะยื่นมือออกไปรับกระบอกน้ำที่ถูกยื่นมาให้แต่โดยดี ทว่าก็ทำเพียงแค่ถือไว้เท่านั้น ไม่มีทีท่าว่าจะยกขึ้นดื่มแต่อย่างใด

นิ่งไว้ นิ่งไว้อย่าได้ทำหน้ากากในคราวนี้หลุดออกมาอีกเชียวล่ะเก็น!

ไม่โรแมนติกเหรอก็คงใช่มั้ง แต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้กระทั่งโคฮาคุยังพูดเลยว่าเขาเป็นพวกเถรตรงแล้วก็ไม่คิดจะจีบใคร

นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบไปมองร่างเพรียวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งยังดูมีท่าทีลังเลอยู่กับกระบอกน้ำในมือ เห็นท่าทางยึดเกร็งนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยทักอีก

ทำไมไม่ดื่มซักทีล่ะ…”

หรือยังคิดอะไรไม่ดีอยู่?”

เก็นหรี่ตาลงน้อยๆ กับถ้อยคำที่ฟังราวกับเป็นการท้าทาย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดกับการกระทำที่ทำเหมือนคล้ายจะให้ความหวังของอีกฝ่าย

ไม่ตลกเลยนะแบบนี้

กระนั้น สิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นก็มีเพียงรอยยิ้มหวานที่กลบฝังความไม่สบอารมณ์เอาไว้ได้อย่างมิดชิด

คะยั้นคะยอกันขนาดนี้ ทำเอาฉันอดสงสัยไม่ได้เลยนะว่าเซ็นคูจังจะใส่ยาอะไรลงไปรึเปล่าน่ะ

ยกยิ้มขบขันเมื่อได้ยินประโยคนั้น

หึ.. ใช่สิ ฉันใส่ลงไปล่ะชี้นิ้วไปที่กระบอกน้ำในมือของเก็นยาสารภาพผิดไง

ทั้งที่อีกฝ่ายก็เป็นคนยื่นน้ำมาให้เขาแท้ๆ ดันมาหาเรื่องระแวงกันเองแบบนี้จนได้.. ท่าทางจิตใจของคุณเมนทัลลิสตอนนี้จะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแท้จริงหมื่นล้านเปอร์เซนต์เสียแล้วล่ะมั้ง

ส่วนเขาเองก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่บ้าจี้อยากจะหยอกคนตรงหน้าเล่น..

ถ้าดื่มเข้าไปแล้ว จะทำให้พูดความจริงที่คิดออกมาทั้งหมดเลยนะ.. ค้างคาวขี้โกหกอย่างแกจะทนได้เหรอ?”

เก็นเพียงขยับยิ้ม ไม่ได้ทั้งตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ ให้ชัดเจน

นายต้องการอะไรกันแน่เซ็นคูจัง

“…ฉันไม่คิดว่านายรับความจริงไหวหรอกนะ…” พึมพำกับตัวเองเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก กลั้นใจยกกระบอกน้ำในมือขึ้นดื่มจนหมดในรวดเดียวพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นโดยไม่คิดจะหันหน้ากลับไปมองอีกฝ่าย

หมดเวลาพักแล้วล่ะ ฉันกลับไปทำงานก่อนละกัน

เขาขยับเข้าไปคว้าแขนอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะเดินหนีไป

ยังไม่หมดเวลาพักเสียหน่อย..

ช่วงนี้จะหลบหน้ากันบ่อยเกินไปหน่อยแล้วมั้ง..” เซ็นคูเอ่ยมีเรื่องที่บอกฉันไม่ได้อยู่เยอะขนาดนั้นเลยรึไง?”

ไม่ได้หลบหน้าซักหน่อยน้าคำตอบที่สวนทางกับการกระทำเมื่อเจ้าตัวไม่คิดจะหันหน้ากลับมามองคู่สนทนาเสียด้วยซ้ำ

ปล่อยมือเถอะเซ็นคูจัง

เก็นยอมผ่อนการควบคุมตัวเองลงเล็กน้อย ปล่อยให้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาคราวนี้ฟังออกถึงความอ่อนล้าที่แฝงไว้ด้วยกระแสของการขอร้อง

ไม่ได้หลบหน้าก็หันกลับมาสิ..”

ถึงอีกฝ่ายจะอ่อนแรงลงแล้วแต่เขาก็ไม่คลายมือที่จับเอาไว้แม้แต่น้อย.. รั้งไม่พอยังเดินเข้าไปใกล้อีก

ฉันไม่ปล่อยแน่ จนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง

คราวนี้ สักมิลลิเมตรก็จะไม่อ่อนให้

ย้า~ ไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยซักหน่อยนี่นาเก็นพยายามอย่างยิ่งที่จะดึงแขนออกจากการจับกุมอย่างเป็นธรรมชาติ ทุ่มสติทั้งหมดไปที่การควบคุมไม่ให้ร่างกายและน้ำเสียงสั่น

ไหนว่าวันนี้มีงานต้องทำเยอะยังไงล่ะ

ข้ออ้างหยัดยิ้มขึ้นมา คิดจะมาขยันทำงานอะไรตอนนี้ ดูยังไงก็พยายามหนีชัดๆ

เซ็นคูยังดูไม่ออกว่าตอนนี้เมนทัลลิสตรงหน้าควบคุมตัวเองมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะถามจี้จุดตรงๆ

เมื่อวานแกพึ่งบอกชอบฉันไปแท้ๆ ไม่คิดจะรับผิดชอบหน่อยรึไง?”

ประโยคคำถามที่ทำให้คนฟังหยุดทุกการขัดขืนที่เคยมี เก็นก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนสีหน้าและแววตาจากการมองเห็น

“…เซ็นคูจังรู้ตัวรึเปล่าว่าเป็นคนใจร้าย…”

ใบหน้าที่หันกลับมาประสานสายตานั้นแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่สัมผัสได้ชัดถึงความเศร้าศร้อย

พึ่งหักอกฉันไปแท้ๆ เลยน้า~ จะไม่ให้เวลาทำใจกันหน่อยเลยเหรอ

“…”

เซ็นคูปล่อยมือที่รั้งแขนบางออก แต่ไม่ได้เดินหนีไปไหน.. เขาแตะไหล่อีกฝ่ายพร้อมรั้งเจ้าของแววตาเศร้าสร้อยนั้นให้หันกลับมาเผชิญหน้าตรงๆ

หักอกเหรอ…” เจ้าของเสียงขมวดคิ้วตั้งแต่เมื่อวานจนตอนนี้ มีสักคำหรือยังที่ฉันปฏิเสธแก?”

ใจจริงอยากจะกระชากร่างเพรียวตรงหน้ากลับเข้ามาให้ใกล้กว่านี้ด้วยซ้ำ.. แต่เขายังแคร์สายตาคนที่อยู่ในลานอาณาจักรวิทยาศาสตร์อยู่

ดวงตาเรียวเหมือนตาแมวอ่อนแสงลงน้อยๆ พึมพำกระซิบแผ่ว

ฉันยังรักตัวเองมากพอที่จะรู้ว่าตอนไหนควรจะยอมแพ้แล้วถอยออกมานะเซ็นคูจัง

ถึงจะพึมพำแต่ตนก็ได้ยินชัดเจน

เจ็บแฮะเขาแค่นหัวเราะ ก่อนจะหันไปตะโกนบอกกับโครมที่ยืนเตรียมวัสดุอยู่ไม่ไกล

เฮ้ คุณนักวิทยาศาสตร์โครม ช่วยดูแลงานตรงนั้นกับปู่คาเซกิแทนสักพักนะ

เดี๋ยวฉันมา

จบการฝากฝัง เขาก็ลากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้เดินตามออกมา มุ่งหน้าตรงเข้าไปในป่าทางลำธารข้างๆ โดยไม่ส่งสัญญาณใดๆ

 

 

 

To be continue.

Posted in Dr.Stone, Fiction, Uncategorized

[DCST] Caught (I)

DCST fiction : Caught

Pairing : Ishigami Senku*Asagiri Gen

Co-written with @PoizeanBerry

 

ฉันน่ะ ถูกใจนายมากเลยนะเซ็นคูจัง

หลังจากถูกบรรยากาศทำให้เผลอหลุดประโยคนั้นออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เก็นก็รีบแก้สถานการณ์ด้วยการเงยหน้าขึ้นมาแสร้งทำเป็นชื่นชมภาพความงดงามของท้องฟ้าในยามค่ำคืน ไม่ลืมที่จะเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงแกมกระเซ้ากลั้วหัวเราะน้อยๆ เพื่อความแนบเนียน

นายคงจะบอกว่ามันน่าขยะแขยงสินะ

ทุกสิ่งที่พูดออกไปนั้นเป็นความจริง หากศักดิ์ศรีของความเป็นนักจิตวิทยายังคงค้ำคอ การทำให้คนฟังเกิดความลังเลระหว่างความจริงกับคำลวงจึงเป็นการกระทำที่ถูกฝังลึกในสัญชาติญาณ

“…”

เซ็นคูมัวแต่ตกตะลึงกับคำพูดที่คล้ายจะเป็นเรื่องเบาบางไร้น้ำหนักนั่น ไม่รู้ว่าเพราะเก็นอยากจะลองเชิงหรือปั่นหัวตนเล่นอีกรึเปล่าเขาจึงเหลือบสายตาไปมองท่าทางอีกฝ่าย.. กระทั่งเห็นใบหน้าด้านข้างเงยมองฟ้าอย่างเฉไฉแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นมา

อืม..” เซ็นคูตอบรับเบาๆขยะแขยงมาก

พอเป็นเรื่องความรู้สึกของตัวเองแล้ว.. หมอนี่โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย

คำตอบที่ทำให้เก็นชะงักไปน้อยๆ หากก็กลบเกลื่อนอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความฉาบฉวยเหมือนอย่างทุกครั้ง

ใช่มั้ยล่า~”

ปั้นแต่งรอยยิ้มแม้ในใจจะกำลังกรีดร้องด้วยความสับสน

ทั้งที่งานของเขาคือการวิเคราะห์หาความจริง ทว่ามีแค่คำพูดของคนตรงหน้าเท่านั้นที่ไม่อยากทำเช่นนั้น

เก็นหันหน้ามาสบตากับอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกตั้งแต่เผลอหลุดความในใจ ก่อนจะเอ่ยปากบอกความรู้สึกที่แท้จริงเป็นที่สองของค่ำคืนนี้

สุขสันต์วันเกิดนะเซ็นคูจัง

อาวันเกิดครบรอบ 3,717 ปีนัยน์ตาสีโกเมนจ้องกลับ ครั้งนี้เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจอวยพรให้จริงๆ

ทุกวินาทีที่นอนนับอย่างโดดเดี่ยวยามถูกทำให้กลายเป็นหินมามากกว่าสหัศวรรษนั้น ทำให้เซ็นคูแทบจะชาชินกับทุกความรู้สึกบนโลกนี้ไปแล้ว.. แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตั้งแต่รู้จักเก็นมา อีกฝ่ายทำให้เขาเซอร์ไพรส์หลายอย่างเหลือเกิน

ดีจริงๆ ที่ปีนี้มีแกมาอวยพร.. อาซากิริ เก็น

เขาพูดเสียงเบา แต่ก็ดังมากพอให้คนข้างๆ ได้ยิน

เก็นกระพริบตาปริบๆ หลังจากได้ยินคเปรยแผ่วไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ก่อนจะยกชายแขนเสื้อยาวขึ้นมาปกปิดรอยยิ้มที่แฝงไว้ถึงความซุกซนที่แต้มขึ้นบนใบหน้า

หลงรักฉันแล้วล่ะสิเซ็นคูจัง

อุวะน่าขยะแขยงจริงด้วยแฮะ

พอเห็นอีกฝ่ายฟื้นตัวกลับมาเล่นลิ้นได้เหมือนเดิมอย่างรวดเร็วเซ็นคูก็พลันลืมสิ้นทั้งหมดถึงบรรยากาศเคลิบเคลิ้มราวความฝันในคืนต้นปีเมื่อครู่

เด็กหนุ่มหัวเราะหึ.. กระตุกยิ้มจางๆ

แต่ก็คงงั้นมั้ง..”

เก็นลอบถอนหายใจ นึกโล่งอกที่บรรยากาศเริ่มกลับคืนสู่อย่างที่เคยเป็น แม้หัวใจจะกระตุกสั่นน้อยๆ เมื่อหูแว่วเสียงกระซิบใต้ลมหายใจที่ลอยแว่วมาตามลม

เลิกคิดเข้าข้างตัวเองได้แล้วอาซากิริ เก็น… 

หน้ากากที่มีนับร้อยถูกหยิบยกขึ้นมาสวม ปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงอีกครั้ง

เซ็นคูจังใจร้ายจังน้า~ ฉันทั้งอุตส่าห์ลงแรงหาของขวัญวันเกิด แถมยังรวบรวมความกล้าสารภาพรักแท้ๆ แต่กลับโดนพูดใส่หน้าว่าขยะแขยงถึงสองครั้งติดๆ กันซะงั้น

เซ็นคูยื่นมือไปแตะกล้องดูดาวที่เป็นของขวัญในวันเกิดปีนี้เบาๆ ดูท่าทางชอบใจมันไม่น้อย แต่สุดท้ายก็หันกลับมาเอ่ยด้วยใบหน้ากวนโอ๊ยเช่นเดิม

พร่ำอะไรไร้สาระอยู่ได้.. รีบๆ เข้านอนได้แล้ว

เด็กหนุ่มตัดบทโดยการเอ่ยไล่

ถึงจะเป็นวันปีใหม่ แต่พรุ่งนี้ฉันก็ไม่ให้แกพักหรอกนะ

เขาเดินผ่านและแกล้งยื่นมือไปจับฮู้ดเสื้อคลุมหัวของเก็นขึ้นสวมให้อีกฝ่าย

เก็นยกมือขึ้นจับดึงขอบฮู้ดลงต่ำซ่อนสีหน้าของตนเองจากสายตาของนักวิทยาศาสตร์ประจำหมู่บ้านเอาไว้ใต้เงาผ้า

แย่ล่ะเป็นหนักขนาดนี้เชียว

เพราะเพียงแค่อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ ร่างกายก็ตอบสนองต่อความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม

เก็นรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความร้อนผ่าวของใบหน้าตอนนี้คงขึ้นสีแดงให้เห็นชัด รับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัวราวกลองศึก รับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านราวกับมีกระแสไฟแล่นไปทั่วร่างกาย เพียงแค่ถูกปลายนิ้วของคนตรงหน้าสัมผัสผ่าน

สัญญาณทุกอย่างบอกชัด…  ว่าเขากำลังก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งระหว่างความดึงดูดไปยังอะไรที่รุนแรงและลึกซึ้งยิ่งกว่าความชอบเป็นเท่าทวี

เฮ้ เก็น

เซ็นคูที่เดินห่างออกไปแล้วจู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าลงแล้วเอ่ยเรียกคนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นนั้นทั้งที่หันหลังอยู่.. ไม่รู้ทำไมวันนี้ทั้งวันตั้งแต่กลับมาจากเหมืองเก็นก็ดูมีท่าทีโลเลแบบเห็นได้ชัด คำพูดทีเล่นทีจริงพวกนั้นดูมีน้ำหนักมากกว่าปกติ และนั่นทำให้เซ็นคูขัดใจ

เขาต้องพิสูจน์..

คืนนี้คนช่วยงานเยอะกว่าปกติ แกจะมานอนที่นี่ด้วยกันก็ได้นะ

เซ็นคูเคาะมือลงกับผนังห้อง โกดังวิทยาศาสตร์ของโครมที่ตอนนี้เป็นห้องพักอาศัยชั่วคราวของเขาไปแล้ว

ประโยคคำชวนที่ทำให้คนฟังนิ่งงันไปราวกับถูกสะกด ดวงตาที่ถูกปกปิดด้วยฮู้ดของเสื้อคลุมเบิกกว้าง ลมหายใจสะดุดห้วง สมองเหมือนหยุดทำงานไปอย่างกะทันหัน

“…ห๊ะ…?”

ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะที่ปั้นแต่งขึ้นอย่างเร่งรีบ

แหมๆ เซ็นคูจังนี่ใจร้อนจังน้า~ แต่ฉันน่ะมีกฏว่าจะไม่กลับบ้านไปกับคู่เดทจนกว่าจะเดทกันครั้งที่สามล่ะน้า~”

สงบใจไว้ ทำให้ทุกอย่างเป็นเหมือนการหยอกล้อไม่จริงจัง

แต่ถ้าเซ็นคูจังจะจ่ายค่าตัวให้ฉันมันก็อีกเรื่องนึงล่ะเนอะ

เหรอแล้วเราเดทกันมากี่ครั้งแล้วล่ะ?”

หันมายิ้มมุมปากเผชิญหน้ากับอีกคน.. ถ้าเล่นมาเขาก็จะเล่นกลับด้วย

ใช้เวลาด้วยกันมาตลอดจนขึ้นปีใหม่แล้วทั้งที ยังไม่ครบสามอีกเหรอ..” ร่างสูงกว่าเดินกลับเข้ามาประชิดถ้าอย่างนั้น ฉันต้องจ่ายด้วยอะไรนะ?”

..!!

เก็นลอบกลืนน้ำลายเมื่อถูกรุกประชิดโดยไม่ทันได้เตรียมใจ หากความเป็นนักแสดงมืออาชีพก็ทำให้สามารถหยิบยกหน้ากากขึ้นมาสวมเพื่อปกปิดความประหม่าได้ในทันควัน

เห~ ค่าตัวฉันแพงน้า เซ็นคูจังแน่ใจเหรอว่าจะจ่ายไหวขยับยิ้ม ดัดเสียงหวาน เก็นจงใจห่อตัวเข้าหากันเพื่อลดความสูงของตัวเองลง พร้อมก้มหน้าลงต่ำเพียงเพื่อจะได้สามารถช้อนสายตาขึ้นมองคู่สนทนาที่เตี้ยกว่าเพียงไม่กี่เซนติเมตรได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เดินต้อนกลับเข้าไปทางเดิมจนอีกฝ่ายเริ่มก้าวไปติดตรงขอบหน้าต่าง.. คนอื่นที่อยู่บนหอดูดาวตอนนี้หายลงไปข้างล่างกันหมดแล้ว เหลือก็แค่เขากับเก็นที่ยังถูกทิ้งเอาไว้ข้างบน

พอนักมายากลแกล้งทำตัวเล็กกว่าแบบนี้เซ็นคูก็เหลือบมองสังเกตใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเก็นได้ง่ายดายกว่าเดิม.. นักวิทยาศาสตร์หนุ่มยกยิ้มพึงพอใจ

แกบอกชอบฉันไปแล้วนี่..” เขายกมือขึ้นแตะปอยผมสีขาวตรงหน้าแล้วลูบเบาๆ

มั่นใจว่าจ่ายไหวอยู่แล้ว หมื่นล้านเปอร์เซนต์เลย

เสียงปริแตกของหน้ากากดังขึ้นภายในหัวเมื่อรับรู้ถึงความร้อนผ่าวบนผิวหน้า และในวินาทีที่มองเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในดวงตาสีแดงที่จ้องตรงมา เก็นก็รู้ได้ในทันทีว่าเกราะกำบังที่สวมใส่อยู่ตลอดนั้นเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซมได้อีกต่อไป

พวงแก้มขาวที่ถูกระบายเป็นสีแดงเรื่อ แววตาที่วูบไหวด้วยอารมณ์ที่สับสนปนเป

แพ้แล้ว

เก็นขยับยิ้มบางๆ พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะควบคุมร่างกายให้หยุดสั่น หากก็ดูจะประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เมื่อน้ำเสียงยามที่เอ่ยประโยคถัดมานั้นฟังออกได้อย่างชัดเจนถึงความประหม่า

เซ็นคูจังรู้ตัวรึเปล่าว่าเป็นคนใจร้ายเล่นไล่ต้อนกันแบบไม่เหลือทางให้หนีเลยแบบนี้น่ะหลุบตาลงต่ำซ่อนแววตาที่วูบไหว แม้จะรู้ดีว่าถูกอีกฝ่ายจับได้เต็มสองตา

พอเซ็นคูเห็นท่าทางที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีเช่นนี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้.. นักอ่านใจที่มักจะสวมหน้ากากหยอกล้อกับเซ้นส์ของคนไปเรื่อนตอนนี้กำลังหน้าแดงฉ่า เผยด้านอ่อนไหวออกมาให้เห็นง่ายๆ ดูท่าทางจะมาถึงขีดจำกัดของจริงแล้วสิ..

แกชอบฉันจริงๆ ใช่ไหมเก็น?” เขาจี้ถามตรงๆ ยืนกักร่างผอมบางเอาไว้ แถมไม่ขยับออกไปไหนเลยแม้แต่มิลลิเมตรเดียว

ถ้ายังตอบเล่นลิ้นอยู่ รู้ใช่ไหมจะเป็นยังไงเขายิ้มบางๆ

คำถามที่ทำให้ลมหายใจสะดุดห้วง ในอกเจ็บร้าวราวกับหัวใจถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น ลำคอตีบตันจนรู้สึกขมปร่าในปาก

และหวาดกลัวเกินกว่าจะเงยหน้ากลับขึ้นมาค้นหาความความหมายที่ซ่อนอยู่ของคำถามดังกล่าวบนใบหน้าของอีกฝ่าย

ใช่

เก็นหลับตาลงช้าๆ เตรียมใจพร้อมรับคำตัดสินชะตาจากผู้ชนะของเกมหัวใจที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เผลอตัวกระโดดเข้ามาเป็นผู้เล่นในสนาม

“…ฉันเผยไพ่ในมือไปหมดแล้ว ไม่เหลือกลโกงอะไรให้ใช้ได้แล้วล่ะ

“…”

ใต้อกซ้ายของเซ็นคูกระตุกวูบไปทีหนึ่งหลังได้รับคำยืนยันที่ค่อนข้างจะเหนือข้อสันนิษฐานของเขาไปไกลออกมาจากปากของเมนทัลลิสหนุ่มตรงหน้า

แย่ล่ะสิ..

“..พรืด

เซ็นคูหลุดขำเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นวางค้ำไว้ที่กำแพงข้างตัวอีกฝ่ายโทษทีไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะ

หัวใจปวดแปล๊บหลังจากที่ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากปากของอีกฝ่าย มือที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมยาวจิกเข้าหากันแน่นจนเห็นเป็นรอยจันทร์เสี้ยว สะกดลมหายใจให้นิ่ง ก่อนจะปั้นหน้ากากและรอยยิ้มให้ฉาบขึ้นมาทับบนใบหน้า

ว่าแล้วเชียวว่าหลอกเซ็นคูจังไม่ได้จริงๆ ด้วย

ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปัดแขนที่วางคร่อมกักขังตัวเองไว้กับกำแพงของหอดูดาวออก แล้วขยับตัวออกจากวงแขนของอีกฝ่าย ไม่ลืมที่จะจัดวางให้ตัวเองอยู่ในมุมที่เหมาะสมที่สุดในการพุ่งตัวออกทางประตู

การแสดงจบลงแค่นี้ล่ะ ฝันดีนะเซ็นคูจัง

สับเท้าเร็วจนเกือบจะเทียบเท่าการวิ่ง ในวินาทีนั้นสมองคิดเพียงต้องการเพิ่มระยะจากคนตรงหน้าให้ได้มากที่สุด

หรืออย่างน้อยก็มากพอที่จะไม่มีใครได้ยินเสียงของหัวใจที่กำลังแหลกร้าวเป็นเสี่ยงๆ

ยังไม่ทันปล่อยให้อีกฝ่ายเดินออกไปไกลเกินสองก้าว เซ็นคูก็ชิงหมุนตัวตามไปจับแขนเรียวแล้วรั้งเข้ามาไว้ได้ก่อน มือหยาบคว้าทั้งข้อมือเล็กและแขนเสื้อคลุมสีม่วงเอาไว้มั่น ออกแรงดึงจนพาอีกคนเซกลับมาใกล้ตน

เดี๋ยวก่อนสิ

ชายหนุ่มยึดไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้ไม่ให้เจ้านักมายากลนี้ขยับตัวเดินต่อได้อีก.. นึกขอบคุณที่ไม่ได้จับให้หันมาเผชิญหน้ากัน เพราะเซ็นคูก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดี

ขอโทษที่หัวเราะ.. แต่ฉันไม่ได้ขำเพราะสมเพชแกนะเขาบีบไหล่เล็กบางในมือแน่น ราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยไปตอนนี้ค้างคาวในมือจะบินหนีออกไป

“..ใจเย็นแล้วอย่าพึ่งไปไหนได้ไหมเก็น

เจ็บนะเซ็นคูจัง

เก็นนึกขอบคุณการฝึกฝนอันเข้มข้นที่เคยได้รับมาในอดีตที่ทำให้ตัวเองยังคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น ทั้งยังฟังสบายๆ ตรงข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริง พยายามกลืนก้อนสะอื้นที่จุกขึ้นมาในคอกลับลงอย่างยากลำบาก

ตอนนี้ดึกแล้ว ฉันว่านายรีบนอนเถอะ พรุ่งนี้มีงานต้องทำอีกเยอะไม่ใช่เหรอ

ขอร้องล่ะ

ปล่อยมือเถอะ

ฉันไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้แล้ว

เป็นคนเริ่มก่อน ก็อย่าปอดแหกคิดจะหนีก็หนีไปเฉยๆ แบบนี้สิ..”

นอกจากจะไม่ปล่อยแล้วเขายังบีบแน่นขึ้นกว่าเก่าอีกต่างหาก.. ยังคงพูดต่อแบบนั้นทั้งที่มองอีกฝ่ายจากข้างหลัง

หรือว่าแกกลัวอะไรอยู่?”

คำถามจี้ใจดำที่ทำให้ทำนบอารมณ์ที่เพียรสะกดกลั้นขาดสะบั้น เก็นออกแรงสะบัดตัวให้หลุดจากการจับกุม ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ไม่หลงเหลือหน้ากากใดๆ ปกปิด

ภาพของคนตรงหน้าพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำที่เอ่อคลออยู่ในดวงตา เก็นแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดของหัวใจที่ถูกบีบรัด ก่อนจะเหยียดยิ้มบางที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

ก็กลัวที่จะถูกนายปฏิเสธยังไงล่ะเซ็นคูจัง

สบตากับอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่คิดหลบแม้น้ำตาจะไหลรินลงมาตามข้างแก้ม

ฉันตอบคำถามของนายแล้ว ทีนี้พอใจรึยัง

น่าจะเป็นครั้งแรกที่เซ็นคูเห็นน้ำตาของเก็นซึ่งไม่ใช่น้ำตาที่กลั่นออกมาจากการแสดง.. ที่แรกเขายังคิดว่าเมนทัลลิสตรงหน้ายังจะหลอกเล่นอะไรอีก แต่บรรยากาศรอบด้านไม่ดูเป็นเช่นนั้นเลย

เซ็นคูยกมือขึ้นไปแตะกลางหน้าผากอีกฝ่าย เลื่อนนิ้วลงมาลูบตามรอยแตกที่เป็นเส้นหยักสีดำใต้ตาซ้าย ช่วยปาดเช็ดน้ำใสๆ ที่เอ่อคลอออกให้อย่างแผ่วเบา

ตีตนไปก่อนไข้แบบนี้ไม่เห็นจะสมเป็นแกเลย..” เขากระซิบเบาๆฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไรสักคำ

ดีดหน้าผากมนเบาๆ

สัมผัสอ่อนโยนที่ชวนให้หัวใจสั่นไหว เก็นหลับตาลงช้าๆ ด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ

ถ้างั้นก็บอกมาสิเซ็นคูจังคำตอบของคำสารภาพรักของฉันน่ะ

หากไม่คาดหวังก็จะไม่มีวันผิดหวังแม้จะรู้ดีแต่ก็ไม่อาจห้ามไม่ให้ใจหวั่นไหว เพราะยิ่งได้รู้จักได้ใกล้ชิดก็ยิ่งถลาลึกจนยากจะถอนตัว

เก็นขยับยิ้มบาง รอยยิ้มเศร้าที่อัดแน่นด้วยความรู้สึก

“…แต่ถ้านายไม่อยากตอบก็คิดซะว่าทั้งหมดนี่เป็นแค่ภาพลวงตาของฝันตื่นหนึ่งแล้วกัน

อืม..”

เซ็นคูยกมือขึ้นไปช้อนใต้แก้มข้างหนึ่งให้เก็นหันหน้ามาสบตากับเขา.. นัยน์ตาสีทับทิมหรี่มองใบหน้าที่ฉาบความเศร้าโศกตรงหน้าอย่างครุ่นคิด.. นี่มันยากกว่าการทดลองหรือทฤษฎีไหนๆ ที่เขาเคยผ่านมาเสียอีก

เซ็นคูลดมือลง โน้มหน้าไปซบหน้าลงกับไหล่ของคนตัวสูงเพรียวและเงียบไปสักพักราวกำลังใช้ความคิด..

ไม่รู้ว่าความหวั่นไหวนี้มันเป็นเพราะถูกแกบอกชอบรึเปล่า แต่ฉันก็ไม่อยากจะคิดมากให้มันยืดเยื้อ

นอกจากแกก็ไม่เคยมีใครแล้วที่ทำให้ฉันรู้สึกหวั่นไหวขนาดนี้มาก่อนจบประโยคนี้เขาก็หัวเราะเบาๆ

ขยะแขยงไหม?”

เก็นนิ่งงันไปกับน้ำหนักที่กดลงบนไหล่ คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้ความคิดสับสนปนเป ดังนั้นสมองจึงถูกทุ่มความสนใจไปยังประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน

นักมายากลที่ถูกกระชากหน้ากากออกมาตีแผ่ใจจริงส่ายหัวช้าๆ ราวกับตกอยู่ในภวังค์

“…ฉันไม่คิดว่าจะมีวันที่จะรู้สึกขยะแขยงนายได้หรอกนะเซ็นคูจัง…”

สติที่ค่อยๆ เริ่มกลับมาแจ่มชัดจัดแจงทำการประมวลผลบทสนทนาทั้งหมดในไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเพื่อหาข้อสรุป

ขอโทษที่ทำให้สับสนนะเปรยกระซิบแผ่ว ก่อนจะยกมือที่ยังสั่นน้อยๆ ขึ้นมาดันคนที่ซบหน้าอยู่กับไหล่ของตนให้ออกห่าง แล้วมอบรอยยิ้มอ่อนหวานที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจทั้งหมดที่มี

ไม่ต้องคิดมากเรื่องของฉันก็ได้ เซ็นคูจังเป็นเซ็นคูจังแบบที่ผ่านมาก็พอ

แล้วทางนี้ก็จะทำตัวแบบเดิมเช่นกันกลับไปเป็นเพียงเมนเทิลลิสที่เต็มไปด้วยความฉาบฉวยอย่างที่ควรจะเป็น

“…”

นักวิทยาศาสตร์หนุ่มเผลอขมวดคิ้วลงโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไม ทั้งที่อีกฝ่ายเหมือนจะเปิดใจให้แล้วแต่กลับรู้สึกเหมือนระยะห่างมันมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก.. เซ็นคูยอมผละออกมาตามแรงดันอย่างง่ายดาย เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพาตัวเองกลับสู่สภาวะปกติ

โอเค ถ้าแกว่างั้น.. คืนนี้ก็แยกย้ายกลับไปนอนพักผ่อนได้แล้ว

มือแตะไหล่บางตรงหน้าเบาๆ แล้วเดินเลี่ยงสวนออกมา

แบบนี้คงจะสมเหตุสมผลที่สุด

เก็นหลุบตาลงต่ำ ซ่อนความรู้สึกทั้งหมดเข้าสู่ส่วนลึกของจิตใจ

ราตรีสวัสดิ์เซ็นคูจัง

หมุนตัวหันหลังเดินออกจากหอดูดาวด้วยฝีเท้าที่เต็มไปด้วยมั่นคง

แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ

ช่วงเวลาของซินเดอเรลล่าจบลงแล้วนับจากนี้ถึงเวลาที่เขาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความจริง

ฉันน่ะชอบนายจริงๆ นะเซ็นคูจัง…” กระซิบด้วยเสียงที่เบาจนกระทั่งตัวเองที่เป็นคนพูดก็ยังแทบไม่ได้ยินด้วยซ้ำ

เพราะชอบมากถึงต้องยิ่งขีดเส้นย้ำถึงระยะห่างที่เหมาะสมให้ยิ่งชันเจน

ที่ๆ ฉันควรอยู่คือข้างๆ นายในฐานะของเมนเทิลลิสไม่มากและไม่น้อยไปกว่านั้น

 

 

To be continue.

 

 

A/N : ฟิคนี้เป็นการโรลฟิคสดระหว่างเรากับคุณอุ้ยค่ะ ไม่มีการเตี๊ยมอะไรกันมาก่อนทั้งสิ้น ด้นกันสดๆ เลยทีเดียว ฮาา เพื่อให้อ่านแล้วไม่งง เราเลยทำการแยกสีตอนที่มีการสลับการเขียน/มุมมองของตัวละครไว้ให้นะคะ และอย่างที่ระบุไว้ด้านบน ปัจจุบันการโรลก็ยังไม่จบค่ะ แต่เพราะดูทรงแล้วน่าจะยาวมาก… เลยตัดตอนแบ่งมาให้อ่านกันก่อน เราได้รับคำอนุญาติจากคุณอุ้ยให้นำมาลงหน้าไมค์ได้แล้วค่ะ